Za darmo

กลายร่าง

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

บทที่สี่

เคทลินเดินถือสมุดบันทึกของเธอในระหว่างเดินทางกลับบ้าน เธอกำลังอารมณ์ดี เธอไม่ได้มีความสุขแบบนี้มานานแล้ว และไม่รู้ครั้งล่าสุดมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เธอทบทวนคำพูดของโจนาห์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเธอ

“คืนนี้มีคอนเสิร์ตที่หอประชุมคาร์เนกี้ ฉันมีตั๋วฟรีสองใบ มันเป็นที่นั่งที่แย่ที่สุด แต่นักร้องจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน”

“เธอกำลังชวนฉันไปเที่ยวหรอ?” เธอพูดพร้อมรอยยิ้ม

เขายิ้มกลับมา

“ถ้าเธอไม่รังเกียจที่จะออกไปกับคนหน้าบวมปูดนะ” เขาพูดพร้อมกับยิ้ม “ที่สำคัญมันคือคืนวันศุกร์”

เธอเกือบจะเดินเลยบ้าน ไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นของเธอเอาไว้ได้ เธอไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับดนตรีคลาสสิค --- เธอไม่เคยฟังมันมาก่อน --- แต่เธอไม่สนใจ เธอจะไปทุกที่กับเขา

คอนเสิร์ตจัดที่หอประชุมคาร์เนกี้ เขาบอกว่าการแต่งกายจะเป็นแนวแฟนซี เธอควรใส่ชุดอะไรดี? เธอมองดูนาฬิกา ตอนนี้มีเวลาไม่มากนักที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าเธอต้องไปพบเขาที่คาเฟ่ก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่ม เธอควรเร่งมือ

เธอเดินมาถึงบ้านแล้ว และแม้แต่ความน่าเบื่อของตัวตึกก็ไม่ได้ทำให้เธอลดความตื่นเต้นลง เธอเดินกึ่งกระโดดขึ้นบันไดไป รู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเดินเข้าไปในอพาร์ทเมนท์ใหม่

เสียงกรีดร้องของแม่ดังออกมา “แก นังตัวดี!”

เคทลินก้มลงทันเวลา ในขณะที่แม่ปาหนังสือมาที่หน้าของเธอ มันลอยผ่านเธอไปและชนเข้ากับกำแพง

ก่อนที่เคทลินจะอ้าปากพูด แม่ของเธอวิ่งเข้ามา --- ยื่นเล็บออกและพุ่งเป้าไปที่ใบหน้าของเธอ

เคทลินเอื้อมไปจับข้อมือของแม่เอาไว้ทันเวลา เธอกอดรัดฟันเหวี่ยงกับแม่เธอ ผลักกันไปมา

เคทลินรู้สึกได้ถึงพลังที่ค้นพบใหม่ มันพลุ่งพล่านไปทั่วเส้นเลือดของเธอ เธอรู้สึกว่าเธอสามารถโยนแม่ของเธอข้ามห้องไปได้โดยไม่ต้องออกแรง แต่เธอหวังที่จะควบคุมมัน เธอผลักแม่ของเธอออกไปให้ไกล แต่แรงนั้นเพียงพอแค่ทำให้แม่ของเธอถอยลงไปบนเก้าอี้

แม่ของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา เธอนั่งอยู่ตรงนั้น เริ่มสะอึกสะอื้น

“มันเป็นความผิดของแก!” เธอแผดเสียงออกมาระหว่างที่ร้องไห้

“แม่เป็นบ้าอะไรเนี่ย?” เคทลินตะโกนกลับมา โดยไม่ได้ป้องกันตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้แต่แม่ของเธอ มันคือการกระทำที่บ้าบอ

“แซม”

แม่ของเธอถือแผ่นกระดาษสมุดบันทึก

เคทลินยื่นมือรับมาด้วยหัวใจที่เต้นแรง ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกุมเข้ามาในใจของเธอ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เธอรับรู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่

“เขาไปแล้ว!”

เคทลินมองไปยังกระดาษที่เขียนด้วยลายมือ เธอไม่สามารถอ่านได้อย่างมีสมาธิ เธอจับใจความได้เพียงบางส่วน --- วิ่งหนี...ไม่อยากอยู่ที่นี่...กลับไปหาเพื่อน...ไม่ต้องตามหา

มือของเธอสั่นเทา แซมทำจริง ๆ เขาจากไปแล้ว และเขาไม่แม้แต่จะรอเธอ ไม่แม้แต่กล่าวจะคำอำลา

“เป็นเพราะแก!” แม่ของเธอถ่มน้ำลายออกมา

เคทลินยังไม่อยากเชื่อ เธอวิ่งไปในอพาร์ทเมนท์ เปิดประตูห้องของแซม หวังว่าจะเจอเขาที่นั่น

แต่ภายในห้องว่างเปล่า โล่งไปหมด ไม่เหลืออะไรเลย แซมไม่เคยทำห้องของเขาให้สะอาด มันคือเรื่องจริง เขาจากไปแล้วจริง ๆ

เคทลินรับรู้ถึงความโกรธที่ก่อตัวขึ้นในลำคอของเธอ ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าแม่ของเธอเป็นฝ่ายถูก มันเป็นความผิดของเธอ แซมถามเธอแล้ว และเธอตอบว่า “ก็ไปสิ”

ก็ไปสิ ทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น? เธอต้องการจะขอโทษกับคำพูดของเธอในเช้าวันถัดไป แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นมาเขาก็ออกไปแล้ว เธอคิดว่าจะพูดกับเขาวันนี้หลังจากเธอกลับถึงบ้าน แต่ตอนนี้ทุกอย่างสายเกินไป

เธอรู้ว่าเขาจะไปที่ไหน มันมีอยู่ที่เดียวที่เขาสามารถไปได้ มันคือเมืองก่อนหน้านี้ เขาคงจะไม่เป็นไร มันน่าจะดีกว่าการอยู่ที่นี่ เขามีเพื่อนอยู่ที่นั่น ยิ่งคิดมากเท่าไร เธอก็ยิ่งเป็นกังวลน้อยลง อันที่จริงเธอรู้สึกยินดีเขา ในที่สุดเขาก็ทำได้ และเธอรู้วิธีที่จะติดตามเขา

แต่เธอจะมาจัดการเรื่องนี้ทีหลัง เธอมองดูนาฬิกาและรู้ตัวว่าเธอสายแล้ว เธอวิ่งไปที่ห้องของเธอ หยิบเสื้อผ้าและรองเท้าที่ดีที่สุดออกมา แล้วยัดใสในกระเป๋ากีฬา เธอต้องไปโดยไม่ได้แต่งหน้า ไม่มีเวลาแล้ว

“ทำไมแกต้องทำลายทุกอย่าง!?” แม่ของเธอร้องลั่นอยู่ข้างหลังของเธอ “ฉันไม่น่ารับแกมาเลี้ยงเลย”

เคทลินมองด้วยความตกใจ

“แม่พูดถึงอะไร!?”

“แกได้ยินถูกแล้ว” แม่ของเธอพูดต่อ “ฉันรับแกมาเลี้ยง แกไม่ใช่ลูกของฉัน ไม่มีทาง แกเป็นลูกของเขา แกไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงของฉัน แกได้ยินฉันมั้ย!? ฉันคงอายที่มีลูกสาวอย่างแก!”

เคทลินมองเห็นแววตาอสรพิษในดวงตาสีดำของแม่ เธอไม่เคยเห็นแม่โกรธสุดขีดขนาดนี้มาก่อน แววตาของเธอราวกับฆาตกร

“ทำไมแกต้องไล่สิ่งดี ๆ ในชีวิตของฉันออกไป!?” แม่ของเธอตะเบ็งเสียง

คราวนี้แม่ของเธอพุ่งเข้ามาพร้อมกับมือสองข้างที่ยื่นมาข้างหน้า และเล็งไปที่คอของเธอ ก่อนที่เคทลินจะทันตอบสนอง เธอถูกบีบคอเข้าอย่างรุนแรง

เคทลินต่อสู้เพื่อที่จะหายใจ แต่แรงบีบของแม่รุนแรงมาก ราวกับว่าต้องการจะฆ่าเธอ

ความโกรธถามโถมเข้าสู่เคทลิน และครั้งนี้เธอไม่สามารถหยุดมันได้ เธอรับรู้ได้ถึงสิ่งที่คุ้นเคย ความร้อนสุดแสบที่ต้นเริ่มจากปลายเท้าของเธอ แผ่ไปตามแขนและไหล่ของเธอ เธอปล่อยให้มันครอบงำ และเมื่อมันทำสำเร็จ กล้ามเนื้อคอของเธอพองออก แรงบีบของแม่คลายออกโดยที่เธอไม่ต้องทำอะไร

แม่ของเธอคงเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะเธอดูหวาดกลัวทันที เคทลินผงกหัวของเธอขึ้นมาและคำราม เธอกลายเป็นบางอย่างที่ดูน่ากลัว

แม่ของเธอปล่อยมือออก เดินถอยหลัง ตกตะลึง และอ้าปากค้าง

เคทลินเอื้อมมือออกไปข้างเดียวและผลักแม่ของเธอ แม่ลอยออกไปด้วยพลังดังกล่าว ชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง แล้วทะลุผ่านไปยังอีกห้องหนึ่ง เธอยังคงลอยต่อไป ชนกับกับแพงห้องอีกครั้ง และล้มลง ไม่ได้สติ

เคทลินหายใจรุนแรง พยายามเพ่งสมาธิ เธอมองดูอพาร์ทเมนท์ ถามตัวเธอเองว่ามีอะไรอีกที่เธอต้องการนำติดตัวไปด้วย เธอรู้ว่ามี แต่คิดไม่ออก เธอคว้ากระเป๋ากีฬาที่ใส่เสื้อผ้าของเธอ เดินออกจากห้องของเธอ ผ่านเศษซากของอิฐหินปูน และผ่านแม่ของเธอไป

แม่ของเธอนอนอยู่ตรงนั้น ร้องโอดครวญ และเริ่มลุกขึ้นนั่ง

เคทลินยังคงเดินต่อไป ออกไปจากอพาร์ทเมนท์แห่งนี้

มันคือครั้งสุดท้าย เธอสาบานว่าเธอจะไม่เห็นภาพนี้อีกต่อไป

บทที่ห้า

เคทลินเดินอย่างรวดเร็วท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บของเดือนมีนาคม เธอเดินไปตามริมถนน หัวใจของเธอยังคงเต้นรัวจากเหตุการณ์นั้น การต่อสู้กับแม่ของเธอ อากาศหนาวที่พัดผ่านใบหน้าของเธอทำให้เธอรู้สึกดีและใจเย็นลง เธอหายสูดใจเข้าลึก ๆ รู้สึกเป็นอิสระ เธอจะไม่กลับไปที่อพาร์ทเมนท์นั้นอีก ไม่ทางที่เธอจะหวนกลับไปยังเส้นทางอันสกปรกเด็ดขาด เธอไม่ต้องทนเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ และจะไม่กลับไปที่โรงเรียนนั้นอีก เธอไม่รู้ว่าเธอกำลังจะไปไหน รู้เพียงแต่ว่าอย่างน้อยเธอต้องไปให้ไกลจากที่นี่

เคทลินเดินมาถึงถนนสายหลักและเริ่มกวาดสายตามองหารถโดยสารฟรี หลังจากรอไม่กี่นาที เธอก็รู้ว่าไม่มีแน่ รถไฟใต้ดินจึงเป็นตัวเลือกเดียวของเธอ

เคทลินเดินต่อไปยังสถานีของถนนหมายเลข 135 เธอไม่เคยเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินของนิวยอร์กมาก่อน เธอไม่แน่ใจว่าต้องไปสายไหน หรือต้องลงที่ไหน และตอนนี้เป็นเวลาที่แย่เกินไปสำหรับการทดลอง เธอกลัวว่าเธออาจจะต้องนอนอยู่ที่สถานีในช่วงกลางคืนที่หนาวเย็นของเดือนมีนาคม --- โดยเฉพาะในละแวกนี้

เธอเดินลงไปยังบันไดที่มีลวดลายกราฟฟิตี้ และเข้าไปที่ช่องจำหน่ายตั๋ว โชคดีที่มีคนนั่งอยู่

“ฉันต้องการไป โคลัมบัส เซอร์เคิล” เคทลินพูด

เจ้าหน้าที่รูปร่างอ้วนใหญ่ที่อยู่ด้านหลังกระจกไม่สนใจเธอ

“ขอโทษนะคะ” เคทลินพูดอีกครั้ง “ฉันต้องการไป---”

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้ลงไปที่สถานี!” เจ้าหน้าที่ผู้หญิงตะโกนออกมา

“ไม่ คุณยังไม่ได้บอก” เคทลินตอบ “คุณไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย!”

เจ้าหน้าที่ไม่สนใจเธออีกครั้ง

“ราคาเท่าไหร่?”

“สองเหรียญห้าสิบ” เจ้าหน้าที่ตะโกน

เคทลินล้วงไปในกระเป๋าของเธอและหยิบแบงค์ยับยู่ยี่มาสามดอลลาร์ เธอสอดมันเข้าไปใต้กระจก

เจ้าหน้าที่ยังคงไม่สนใจเธอ ยื่นบัตรรถไฟกลับมา

เคทลินแตะบัตรและเดินเข้าไป

ภายในสถานีไม่ค่อยสว่าง สภาพเหมือนเกือบจะร้าง คนจรจัดสองคนอยู่นั่งบนม้านั่ง คลุมด้วยผ้าห่ม คนหนึ่งหลับ แต่อีกคนมองมาที่เธอในขณะที่เธอเดินผ่าน เขาเริ่มพึมพำ เคทลินเร่งฝีเท้าของเธอให้เร็วขึ้น

เธอเดินไปยังขอบชานชลาและโน้มตัวมองหารถไฟ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด

เร็วสิ เร็วสิ

เธอมองไปที่นาฬิกาของเธออีกครั้ง มันสายไปห้านาทีแล้ว เธอสงสัยว่าจะต้องรออีกนานแค่ไหน เธอสงสัยว่าโจนาห์คงกลับไปแล้ว เธอโทษเขาไม่ได้

เธอสังเกตเห็นจากหางตาว่ามีบางอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เธอหันไปมอง แต่ไม่พบอะไร

เธอพยายามเพ่งมองดู เธอเห็นเงาที่น่ากลัวทอดยาวไปตามกำแพงกระเบื้องสีขาว เงานั้นเคลื่อนตัวลงไปยังรางรถไฟ เธอกำลังถูกจับตาดูอยู่

แต่เมื่อเธอมองไปอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไร

ฉันต้องเห็นอะไรบางอย่างแน่ ๆ

เคทลินเดินไปยังแผนที่รถไฟขนาดใหญ่ มันมีรอยขีดข่วนและฉีกขาด เต็มไปด้วยลวดลายกราฟฟิตี้ แต่เธอยังคงมองออกว่าเป็นแผนที่เส้นทางรถไฟ อย่างน้อยเธอก็อยู่ในสถานที่ถูกต้อง มันน่าจะพาเธอไปยัง โคลัมบัส เซอร์เคิล เธอรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

“เธอหลงทางหรอจ๊ะสาวน้อย?”

เคทลินหันกลับมาและเห็นผู้ชายผิวดำ ตัวโต ยืนอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้โกนหนวด และเมื่อเขายิ้ม เธอสังเกตว่าเขามีฟันที่หายไป เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้มาก จนเธอสามารถได้กลิ่นลมหายใจเหม็น ๆ และกลิ่นเหล้า

เธอเบี่ยงตัวหลบออกมาจากเขาและเดินห่างออกไปหลายฟุต

“เฮ้ย นังตัวดี ฉันกำลังพูดกับแกนะ!”

เคทลินเดินต่อไป

ชายคนนั้นดูมึนเมา เขาเดินโซเซและโอนเอนในขณะที่เขาค่อย ๆ มุ่งหน้าไปหาเธอ แต่เคทลินเดินเร็วกว่ามาก และพื้นที่ของชานชลามีขนาดกว้างขวาง จึงมีที่ว่างเพียงพอระหว่างพวกเขา เธอต้องการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ใช่ที่นี่ ไม่ใช่ตอนนี้

เขาเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอกังวลว่าเมื่อไหร่รถไฟจะมา ต้องรออีกนานแค่ไหน เธอกลัวว่าจะหมดทางเลือกและต้องเผชิญหน้ากับเขา ได้โปรดพระเจ้า พาฉันออกไปจากที่นี่

ทันใดนั้น เสียงอึกทึกเริ่มดังไปทั่วสถานี และรถไฟมาถึงสถานี ขอบคุณพระเจ้า

เธอก้าวเข้าไปในรถไฟ และมองดูด้วยความสบายใจ ในขณะที่ประตูปิดลงต่อหน้าชายขี้เมา เขาสบถและทุบรั้วเหล็ก

รถไฟมุ่งหน้าออกไป ในไม่กี่อึดใจเขาก็กลายเป็นเพียงภาพเลือนลาง เธอกำลังเดินทางออกไปจากละแวกนี้ เพื่อไปสู่ชีวิตใหม่ของเธอ

*

เคทลินออกมาที่สถานี โคลัมบัส เซอร์เคิล และเดินอย่างรวดเร็ว เธอมองดูนาฬิกาอีกครั้ง เธอมาสายไป 20 นาที

ได้โปรดอยู่ที่นั่น ได้โปรดอย่าไป ขอร้องล่ะ

ในขณะที่เธอเดินผ่านไปเพียงไม่กี่ช่วงตึก จู่ ๆ เธอรู้สึกแสบท้องขึ้นมา ความเจ็บปวดอันรุนแรงทำให้เธอต้องหยุดเดิน

เธอตัวงอ กุมท้องแน่น ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เธอสงสัยว่าคนอื่นกำลังมองมาที่เธอหรือเปล่า แต่เธอเจ็ดปวดมากเกินไปที่จะสนใจ เธอไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอกำลังดิ้นรนพยายามหายใจ

ทั้งสองฝั่งของถนน ผู้คนเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครหยุดดูว่าเธอเป็นอะไร

 

หลังจากนั้นไม่กี่นาที เธอค่อย ๆ ยืนขึ้น ความเจ็บปวดเริ่มบรรเทาลง

เธอหายใจเข้าลึก ๆ และสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

เธอเดินต่อไป มุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของคาเฟ่ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกมึนงงเต็มที และมันยังมีความรู้สึกอีกอย่าง...ความหิวโหย มันไม่ใช่แค่ความหิวธรรมดา แต่มันลึกซึ้งกว่านั้น การหิวกระหายแบบไร้เหตุผล ทันใดนั้นเอง มีผู้หญิงคนหนึ่งจูงสุนัขของเธอเดินผ่านไป เคทลินมองตามโดยไม่ละสายตา เธอชะเง้อมองสุนัข และจ้องไปที่คอของมัน

เธอแปลกใจที่เธอสามารถมองเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังของสุนัขได้ทุกอณู เลือดที่กำลังไหลเวียน เธอมองเห็นการเต้นของหัวใจผ่านกระแสเลือด และเธอรู้สึกตื้อ ไร้ความรู้สึกในฟันของเธอ เธอต้องการเลือดของสุนัขตัวนั้น

สุนัขเหมือนรับรู้ได้ว่ากำลังถูกจับตา มันหันมามองในระหว่างที่กำลังเดิน มันจ้องเคทลินด้วยความหวาดกลัว มันคำรามใส่และรีบเดินหนีไป เจ้าของสุนัขหันมาและมองไปที่เคทลินแบบงง ๆ

เคทลินเดินต่อไป เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอเป็นคนรักสุนัข เธอไม่เคยต้องการทำร้ายสัตว์ แม้แต่แมลงวัน มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?

ความเจ็บปวดจากการหิวโหยหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับตอนที่มันเกิดขึ้น เคทลินรู้สึกว่าเธอกลับมาเป็นปกติ เมื่อเลี้ยวผ่านหัวมุม เธอเริ่มมองเห็นคาเฟ่ เธอเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น สูดหายใจลึก และเริ่มรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง เธอมองดูนาฬิกา สายไป 30 นาทีแล้ว เธอภาวนาว่าเขาจะยังอยู่ที่นั่น

เธอเปิดประตูเข้าไป หัวใจของเธอเต้นรัว ครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวด แต่มันมาจากความวิตกกังวลว่าโจนาห์จะกลับไปแล้ว

เคทลินเริ่มกวาดสายตามองหา เธอเดินอย่างรวดเร็ว กระหืดกระหอบ และเริ่มรู้สึกว่าถูกจับตา เธอรับรู้ได้ถึงทุกสายตารอบข้างที่มองมาที่เธอ เธอมองหาแถวโต๊ะกินข้าวทางซ้ายและทางขวา แต่ไร้ซึ่งวี่แววของโจนาห์ เธอผิดหวัง เขาต้องกลับไปแล้วแน่ ๆ

“เคทลิน?”

เคทลินหันหลังไป โจนาห์กำลังยืนยิ้มอยู่ เธอรู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอเอ่อล้นไปด้วยความสุข

“ฉันขอโทษจริง ๆ” เธอรีบพูดออกมา “ปกติฉันไม่เคยมาสาย ฉันแค่ --- คือว่า ---”

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอก พร้อมกับวางมือของเขาลงบนไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวล จริง ๆ ฉันดีใจมากที่เธอไม่เป็นอะไร” เขาเสริม

เธอมองไปที่รอยยิ้มของเขา ดวงตาสีเขียว ใบหน้าอันบอบช้ำและเต็มไปด้วยบาดแผล วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกสงบ เธอรู้สึกว่าทุกอย่างจะต้องไม่ผ่านไปด้วยดีอย่างแน่นอน

“ตอนนี้เราเหลือเวลาไม่มากที่จะไปให้ทัน” เขาบอก “เรามีเวลาเพียงแค่ห้านาที ดังนั้นเราค่อยมาดื่มกาแฟทีหลังแล้วกัน”

“ได้สิ” เธอพูดออกมา “ฉันแค่มีความสุขมากที่เราไม่ได้พลาดการดูคอนเสิร์ตด้วยกัน ฉันรู้สึกเหมือน ---”

ทันใดนั้น เคทลินมองลงมาและตกใจที่รู้ตัวว่าเธออยู่ในชุดลำลอง เธอยังคงถือกระเป๋ากีฬาที่มีชุดและรองเท้าสวย ๆ เธอควรมาถึงคาเฟ่ให้เร็วกว่านี้ เพื่อเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ แล้วค่อยพบโจนาห์ แต่ตอนนี้เธอยืนอยู่ที่นั่น เผชิญหน้ากับเขา แต่งตัวมอมแมมและถือกระเป๋ากีฬา แก้มของเธอแดงก่ำ เธอไม่รู้ว่าจะพูดไรออกมาดี

“โจนาห์ ฉันขอโทษที่ฉันแต่งตัวแบบนี้” เธอพูด “จริง ๆ ฉันจะมาเปลี่ยนเสื้อก่อน แต่ฉันมาสาย...เธอบอกว่าเรามีเวลาแค่ห้านาทีใช่มั้ย?”

เขามองไปที่นาฬิกาของเขา ความกังวลปรากฏบนใบหน้า

“ใช่ แต่---”

“เดี๋ยวมานะ” เธอพูด ก่อนที่เขาจะทันตอบกลับ เธอก็วิ่งตรงไปยังห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

เคทลินพุ่งเข้าไปในห้องน้ำและล็อกประตู เธอเปิดกระเป๋าและหยิบเสื้อผ้าสวย ๆ ของเธอออกมา ซึ่งตอนนี้มันยับหมดแล้ว เธอถอดเสื้อและรองเท้าออก สวมกระโปรงสั้นสีม่วงและเสื้อเชิ้ตสีขาว เธอนำตุ้มหูเพชรออกมาและสวมใส่มัน แม้ว่าจะเป็นของปลอมราคาถูก แต่มันก็ทำให้ดูดีได้ เธอเสร็จสิ้นการแต่งตัวของเธอด้วยรองเท้าส้นสูงสีดำ

เธอส่องกระจก มันดูไม่ค่อยเรียบร้อยนัก แต่ไม่ได้แย่จนเกินไป เธอค่อย ๆ เปิดคอเสื้อเพื่อให้เห็นกางเขนเงินขนาดเล็กที่เธอยังคงใส่ไว้ที่คอ เธอไม่มีเวลาแต่งหน้า แต่อย่างน้อยเธอก็ได้แต่งตัว เธอเอามือล้างน้ำอย่างรวดเร็วและลูบไปบนผมของเธอ จัดให้เข้าทรง จากนั้นจึงถือกระเป๋าหนังสีดำของเธอ

ดูเหมือนเวลาของเธอจะหมดแล้ว เธอมองไปที่กองเสื้อผ้าและรองเท้าที่เธอถอดไว้ เธอกำลังลังเล คิดในใจ เธอไม่อยากแบกเสื้อผ้าไปกับเธอตลอดทั้งคืน อันที่จริง เธอไม่ต้องการใส่เสื้อผ้าเหล่านั้นอีกต่อไป

เธอม้วนเสื้อผ้า และโยนลงไปในถังขยะตรงมุมห้องด้วยความพอใจ ตอนนี้เธอกำลังสวมใส่เสื้อผ้าเพียงชุดเดียวของเธอที่เหลืออยู่ในโลกนี้

เธอรู้สึกดีที่กำลังจะเดินไปสู่ชีวิตใหม่ของเธอด้วยชุดนี้

โจนาห์รอเธออยู่นอกคาเฟ่ กำลังกระดิกเท้า มองดูนาฬิกา เมื่อเคทลินเปิดประตูออก เขาหันกลับมา และเมื่อเขาเห็นเธอแต่งตัว เขาแน่นิ่ง จ้องไปที่เธอโดยไม่พูดอะไร

เคทลินไม่เคยถูกผู้ชายมองด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะได้รับความสนใจ สายตาที่โจนาห์มองมาที่เธอทำให้เธอรู้สึก...พิเศษ มันเป็นครั้งแรกทำให้เธอรู้สึกเหมือนผู้หญิง

“เธอดู....สวยมาก” เขาพูดอย่างอ่อนโยน

“ขอบคุณ” เธอพูด เธอก็เหมือนกัน เธออยากตอบกลับแบบนั้น แต่ห้ามตัวเองเอาไว้

ด้วยความมั่นใจใหม่ที่เธอค้นพบ เธอเดินไปกับเขา สอดแขนของเธอเข้ากับแขนของเขา และมุ่งหน้าไปยังหอประชุมคาร์เนกี้ เขาเดินไปพร้อมกับเธอ เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น แล้ววางมือของเขาไว้บนมือของเธอ

การได้อยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายทำให้เธอรู้สึกดี แม้ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในวันนั้นและเมื่อวันก่อน แต่ตอนนี้เคทลินรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในอากาศ

บทที่หก

หอประชุมคาร์เนกี้คับคั่งไปด้วยผู้คน โจนาห์เดินนำทางฝ่าฝูงชนเข้าไป มุ่งไปยัง วิลล์ คอลล์ การไปที่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมันเต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก และทุกคนดูเหมือนกำลังเร่งรีบเพื่อไปให้ทันคอนเสิร์ต เคทลินไม่เคยเห็นคนแต่งตัวดี ๆ รวมอยู่ในที่เดียวกันมาก่อน ผู้ชายส่วนใหญ่แต่งกายในชุดทักซิโด้ ส่วนผู้หญิงจะใส่ชุดราตรียาว เครื่องประดับส่องประกายไปทุกที่ มันช่างน่าตื่นเต้น

โจนาห์หยิบตั๋วออกมาและนำทางเธอขึ้นบันได เขายื่นให้กับพนักงาน พนักงานฉีกออกและยื่นต้นขั้วกลับคืนมา

“ฉันขอเก็บไว้ได้มั้ย?” เคทลินถาม ในขณะที่โจนาห์กำลังเก็บใส่กระเป๋า

“ได้สิ” เขาพูด พร้อมยื่นให้เธอหนึ่งอัน

เธอจับต้นขั้วตั๋วที่ได้มา

“ฉันชอบเก็บของแบบนี้” เธอพูดต่อ หน้าของเธอแดงก่ำ “ฉันคิดว่า มันรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลา”

โจนาห์ยิ้ม ขณะที่เธอสอดมันไว้ในกระเป๋าด้านหน้า

พนักงานนำทางพวกเขาไปตามโถงทางเดินอันหรูหราที่ปูด้วยพรมหนาสีแดง ประดับด้วยกรอบรูปของศิลปินและนักร้องเรียงรายตามแนวฝาผนัง

“แล้วเธอได้ตั๋วฟรีมายังไง?” เคทลินถาม

“ครูสอนไวโอล่าของฉัน” เขาตอบ “เขามีตั๋วฤดูกาล แต่คืนนี้เขาไม่สามารถมาได้ เขาจึงให้ตั๋วฉันมา ฉันหวังว่ามันจะไม่ถูกยึดไปเพราะฉันไม่ได้จ่ายค่าตั๋วด้วยตัวเอง” เขาเสริม

เธอมองเขาด้วยความงุนงง

“เดทของเราไง” เขาตอบ

“ไม่แน่นอน” เธอพูด “เธอพาฉันมาที่นี่ นั่นคือสิ่งสำคัญที่สุด มันยอดเยี่ยม”

เคทลินและโจนาห์ถูกนำทางไปโดยพนักงานอีกคน เพื่อเข้าไปยังประตูเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทางเข้าห้องแสดงคอนเสิร์ต ภายในห้องสูงโปร่ง น่าจะสูงประมาณ 50 ฟุต และบริเวณช่องขนาดเล็กมีที่นั่งเพียง 10 หรือ 15 ที่นั่ง ที่นั่งของพวกเขาอยู่ทางด้านขวาริมชั้นลอย ติดกับราวกั้น

โจนาห์เปิดเก้าอี้บุกำมะหยี่ให้เธอนั่ง เธอมองลงไปยังฝูงชนอันมากมายมหาศาลและนักแสดงทั้งหมด มันเป็นสถานที่คลาสสิคที่สุดที่เธอเคยเห็น เธอมองไปยังหมู่ผู้คนผมสีเทาเหล่านั้น และเธอรู้สึกว่าต่อให้อายุ 50 ปี ก็ยังเด็กเกินไปที่จะมาอยู่ที่นี่ แต่เธอก็รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย

โจนาห์นั่งลง ศอกของพวกเขาชนกัน เธอรู้สึกตื่นเต้นกับไออุ่นของเขา เมื่อพวกเขานั่งลงและกำลังรอการแสดงคอนเสิร์ตเริ่ม เธออยากเอื้อมไปจับมือของเขา และกุมมือของเขาไว้ แต่เธอไม่ต้องการเสี่ยงที่จะทำเรื่องน่าอาย ดังนั้นเธอจึงนั่งเฉย ๆ หวังว่าเขาจะเอื้อมมาจับมือของเธอ แต่เขายังนั่งนิ่ง มันคงเร็วเกินไป และบางทีอาจเป็นเพราะเขาคงจะขี้อาย

แทนที่เขาจะทำแบบนั้น เขากลับชี้นิ้วข้ามราวกั้น

“นักไวโอลินที่เก่งที่สุดนั่งอยู่ใกล้กับขอบเวที” เขาพูด พลางชี้ไป “ผู้หญิงคนนั้นคือหนึ่งในนักไวโอลินที่เก่งที่สุดของโลก”

“เธอเคยมาเล่นที่นี่มั้ย?” เธอถาม

โจนาห์หัวเราะ “ฉันหวังว่าจะมีโอกาสนะ” เขาตอบ “หอประชุมนี้อยู่ห่างจากพวกเราเพียง 50 ช่วงตึก แต่มันดูห่างไกลกันคนละโลกในแง่ของพรสวรรค์ บางทีคงจะมีซักวันหนึ่ง” เขาเสริม

เธอมองลงไปยังเวที นักแสดงหลายร้อยคนกำลังปรับเครื่องดนตรีของพวกเขา ทั้งหมดแต่งกายในชุดสีดำ พวกเขาดูจริงจังและมุ่งมั่น กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังคือคณะนักร้องประสานเสียงกลุ่มใหญ่

ทันใดนั้น ชายหนุ่มอายุราว 20 ปี ผมดำยาวปลิวไสว แต่งกายในชุดทักซิโด้ ย่างกรายอย่างภาคภูมิใจไปบนเวที เขาเดินผ่านนักดนตรี มุ่งหน้าไปกลางเวที เมื่อเขาไปถึง ผู้ชมทั้งหมดต่างยืนขึ้นและปรบมือ

“เขาคือใคร?” เคทลินถาม

เขายืนอยู่กลางเวทีและโค้งคำนับซ้ำ ๆ พร้อมรอยยิ้ม แม้ว่าจะมองจากตรงนี้ เคทลินก็เห็นได้ว่าเขาดึงดูดความสนใจได้อย่างน่าทึ่ง

“เซอร์เก ราคอฟ” โจนาห์ ตอบ “เขาคือหนึ่งในนักร้องที่ยอดเยี่ยมที่สุดของโลก”

“แต่เขาดูอายุยังน้อย”

“มันไม่เกี่ยวกับอายุ มันเกี่ยวกับพรสวรรค์” โจนาห์ตอบ “นั่นคือพรสวรรค์ และความสามารถพิเศษ การมีความสามารถพิเศษแบบนั้น เธอต้องเกิดมาพร้อมกับมัน---และเธอจำเป็นต้องฝึกฝน ไม่ใช่เพียงแค่สี่ชั่วโมงต่อวัน แต่เป็นแปดชั่วโมงต่อวัน และต้องฝึกทุกวัน ฉันจะทำถ้าฉันทำได้ แต่พ่อของฉันไม่ยอม”

“ทำไมล่ะ?”

“เขาไม่อยากให้ไวโอล่าคือสิ่งเดียวในชีวิตของฉัน”

เธอรับรู้ได้ถึงความผิดหวังในน้ำเสียงของเขา

ในที่สุดเสียงปรบมือเริ่มเงียบลง

“คืนนี้ พวกเขาจะเล่นเพลง ซิมโฟนีหมายเลข 9 ของเบโทเฟน” โจนาห์พูด “มันคือเพลงที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เธอเคยฟังมาก่อนมั้ย?”

เคทลินส่ายหัว รู้สึกโง่ เธอเคยเรียนเกี่ยวกับเพลงคลาสสิคตอนอยู่เกรดเก้า แต่เธอไม่เคยฟังคำพูดของครูเลย เธอไม่เข้าใจ จิตใจของเธอลอยไปที่ไหนสักแห่ง ตอนนี้เธอหวังว่าเธอจะได้ฟัง

“มันต้องมีวงออเครสตร้าขนาดใหญ่” เขาพูด “และคณะนักร้องประสานเสียงกลุ่มใหญ่ นักแสดงบนเวทีจะมีจำนวนมากกว่าเครื่องดนตรีอื่น ๆ ดูตื่นตาตื่นใจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมที่นี่จึงมีคนมากมาย”

เธอสำรวจภายในห้อง ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คนนับพัน และไม่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่

“บทเพลงนี้คือผลงานสุดท้ายของเบโทเฟน เขากำลังจะตายและเขารู้ดี เขาจึงใส่ความรู้สึกนั้นเข้าไปในบทเพลง ราวกับว่าความตายกำลังจะมาเยือน” เขาหันมาหาเธอและยิ้มเป็นเชิงขอโทษ “ขอโทษ มันทำให้เธออึดอัดรึเปล่า”

“ไม่เลย ไม่เป็นไร” เธอพูด และหมายความอย่างนั้นจริง ๆ เธอชอบฟังเขาพูด ชอบเสียงของเขา เธอยินดีที่ได้ฟังในสิ่งที่เขารู้ เพื่อนทั้งหมดของเธอมักจะสนทนาแต่เรื่องทั่วไป และเธอต้องการบางอย่างมากกว่านั้น เธอรู้สึกโชคดีที่ได้อยู่กับเขา

มันมีหลายอย่างเหลือเกินที่เธอต้องการพูดกับโจนาห์ คำถามมากมายที่เธอต้องการถาม --- แต่ทันใดนั้นแสงไฟก็มืดลง ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง คงต้องรอเวลา เธอเอนตัวไปข้างหลังและนั่งพิงเบาะ

เธอมองลงไปและตกใจที่เห็นมือของโจนาห์ เขาวางมือบนที่เท้าแขนตรงกลาง หงายฝ่ามือขึ้น กำลังรอการตอบรับจากเธอ เธอยื่นมือออกไปช้า ๆ เพื่อไม่ให้ดูล่อแหลมจนเกินไป และวางมือของเธอลงบนฝ่ามือของเขา มือของเขาช่างอ่อนนุ่มและอบอุ่น เธอรู้สึกเหมือนมือของเธอกำลังละลาย

วงออเครสตร้าเริ่มต้นแล้ว โน้ตตัวแรกถูกบรรเลงขึ้น --- โน้ตเพลงช่างนุ่มนวล ลื่นไหล ไพเราะ --- เธอรู้สึกถึงคลื่นแห่งความสุขกำลังพัดเข้าหาเธอ และรับรู้ได้ว่าเธอไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน เธอลืมเรื่องราวเหตุการณ์เมื่อวันก่อน ถ้านี่คือเสียงแห่งความตาย เธอต้องการจะได้ยินมากกว่านี้

*

ขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่และดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง เธอสงสัยว่าทำไมเธอไม่เคยได้ยินมันมาก่อน สงสัยว่าเธอจะออกเดทกับโจนาห์ได้นานแค่ไหน แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง จู่ ๆ ความเจ็บปวดก็ประดังเข้ามา ตรงหน้าท้องของเธอ เหมือนกับตอนที่เกิดขึ้นบนถนน เธอรวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อไม่ให้เธอก้มตัวงอต่อหน้าโจนาห์ เธอขบฟันของเธออย่างเงียบ ๆ หายใจไม่ค่อยออก หยดเหงื่อกำลังไหลออกมาจากหน้าผากของเธอ

อีกความเจ็บปวดหนึ่งถาโถมเข้ามา

ครั้งนี้เธอร้องเสียงแหลมด้วยความเจ็บปวด แต่ยากที่จะได้ยิน เพราะเสียงเพลงกำลังดังขึ้นเรื่อย ๆ เธอคิดว่าโจนาห์ต้องได้ยินอย่างแน่นอน เพราะเขามองมาที่เธอด้วยความกังวล เขาวางมืออย่างสุภาพบนไหล่ของเธอ

“เธอเป็นอะไรรึเปล่า?” เขาถาม

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงกำลังรุมเร้าเธอ และยังมีอีกอย่าง มันคือความหิว เธอรู้สึกหิวโหยสุดขีดขึ้นทันที เธอไม่เคยถูกครอบงำด้วยความรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิตของเธอ

เธอชำเลืองมองโจนาห์ สายตาของเธอจ้องไปที่คอของเขา เธอถูกดึงดูดด้วยเส้นเลือดที่กำลังสูบฉีดจากหูของเขาลงไปที่คอ เธอมองมันเต้นเป็นจังหวะ หัวใจของเธอเต้นแรงยิ่งขึ้น

“เคทลิน?” เขาถามอีกครั้ง

ความหิวกระหายกำลังครอบงำเธอ เธอรู้ว่าถ้าเธอยังนั่งอยู่ที่นั่นอีกวินาทีเดียว เธอจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ถ้าเธอปล่อยตัวเองให้ทำ ฟันของเธอจะฝังลงไปที่คอของโจนาห์อย่างแน่นอน

เคทลินรวบรวมสมาธิเฮือกสุดท้าย แล้วลุกพรวดพลาดจากเก้าอี้ของเธอ ข้ามโจนาห์ไปอย่างรวดเร็ว และวิ่งขึ้นบันได ไปที่ประตู

ในขณะเดียวกัน แสงไฟในห้องส่องสว่างขึ้น เมื่อวงออเครสตร้าบรรเลงโน๊ตตัวสุดท้าย ตอนนี้ถึงช่วงพัก ผู้ชมทั้งหมดลุกขึ้นยืน ปรบมือเสียงดัง

เคทลินไปถึงประตูทางออกก่อนที่ฝูงชนจะลุกจากเก้าอี้เพียงไม่กี่วินาที

“เคทลิน!?” โจนาห์ตะโกนมาจากที่ไหนสักแห่งข้างหลังเธอ เขาอาจจะลุกจากที่นั่งและตามเธอมา

เธอไม่อยากให้เขาเห็นเธอในสภาพนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่สามารถปล่อยเขาให้เข้ามาใกล้เธอ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสัตว์ เธอเดินไปยังโถงทางเดินของหอประชุมคาร์เนกี้ เธอก้าวเท้าเร็วขึ้น เร็วขึ้นเรื่อย ๆ และวิ่งไปอย่างรวดเร็ว

เธอวิ่งด้วยความเร็วเต็มกำลัง วิ่งฝ่าพรมในโถงทางเดินจนฉีกขาด เธอคือสัตว์ป่าที่กำลังออกล่า เธอต้องการอาหาร เธอรู้ว่าเธอต้องอยู่ให้ห่างจากผู้คน เธอเร่งความเร็วขึ้น

เธอพบประตูทางออกและใช้ไหล่ผลักเข้าไป แต่ประตูล็อกอยู่ และเมื่อเธอออกแรงดัน บานประตูก็เปิดออกทันที

เบื้องหน้าของเธอเป็นบันไดวนส่วนตัว เธอวิ่งลงไปทีละสามขั้น เธอลงไปถึงประตูอีกฝั่ง เธอใช้ไหล่ของเธอดันประตูอีกครั้ง และพบกับโถงทางเดินใหม่

โถงทางเดินนี้ดูพิเศษ และดูว่างเปล่ามากกว่าที่อื่น แม้ว่าเธอจะอยู่ในความมืดสลัว แต่เธอสามารถบอกได้ว่าบริเวณนี้น่าจะเป็นหลังเวที เธอเดินลงไปตามโถงทางเดิน งอตัวด้วยความเจ็บปวดจากความหิว และรู้ว่าเธอคงทนได้อีกไม่นาน

 

เธอยกฝ่ามือขึ้นมาและผลักไปยังประตูบานแรกที่เจอ เธอเปิดเข้าไป มันเป็นห้องแต่งตัวส่วนบุคคล

เขานั่งอยู่หน้ากระจก กำลังชื่นชมตัวเอง เซอร์เกผู้เป็นนักร้องอยู่ตรงนั้น นี่ต้องเป็นห้องแต่งตัวหลังเวทีของเขาอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เธอมาถึงที่นี่แล้ว

เขายืนอยู่ ทำท่าทางรำคาญ

“ขอโทษนะ แต่ฉันยังไม่แจกลายเซ็นตอนนี้” เขาพูดออกมา “คนเฝ้าประตูน่าจะบอกเธอว่านี่คือเวลาส่วนตัวของฉัน ถ้าเธอไม่ว่าอะไร ฉันต้องไปเตรียมตัว”

เคทลินคำรามออกมา เธอกระโจนเข้าไป และฝังเขี้ยวลึกลงในลำคอของเขาทันที

เขาร้องออกมา แต่มันสายไปเสียแล้ว

เขี้ยวของเธอจมลึกเข้าไปในเส้นเลือดของเขา เธอดื่มด่ำกับมัน สัมผัสได้ถึงเลือดที่กำลังวิ่งผ่านเส้นเลือดของเธอ รู้สึกถึงความหิวโหยที่ได้รับการตอบสนอง มันคือสิ่งที่เธอต้องการ และเธอไม่สามารถรอได้อีกต่อไป

เซอร์เกทรุดตัวลง หมดสติอยู่ในเก้าอี้ของเขา เคทลินถอยห่างออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด และรอยยิ้ม เธอได้ค้นพบรสชาติใหม่ และไม่มีสิ่งใดมาขวางเธอได้อีก