Za darmo

กำเนิดราชันย์มังกร

Tekst
0
Recenzje
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

บทที่สิบสอง

เวซูเวียส ราชาแห่งโทรลและผู้ปกครองสูงสุดแห่งอาณาจักรมาร์ดา กำลังยืนอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่ใต้พื้นพิภพ บนระเบียงหินสูงหลายร้อยฟุต เขามองลงมา เฝ้าดูการทำงานของกองทัพที่อยู่เบื้องล่าง แรงงานโทรลนับพันในโพรงขนาดใหญ่ใต้ดิน กำลังทุบหินด้วยพลั่วและค้อน กระหน่ำตีลงไปในพื้นโลกและก้อนหิน เสียงของการทำเหมืองดังสนั่นกึกก้องอยู่ในอากาศ คบไฟจำนวนมากวางเรียงรายอย่างต่อเนื่องตามแนวกำแพง ไอน้ำของลาวาปะทุขึ้นมาจากพื้นพสุธา ก่อเกิดเป็นประกายไฟเปล่งแสงเรืองรองทำให้ถ้ำสว่างวาบ พวกโทรลเหงื่อออกและต้องอ้าปากหายใจกับความร้อนระอุข้างล่าง

เวซูเวียสยิ้มกว้าง เขาเป็นโทรลที่ใบหน้าดูพิลึก ผิดรูปร่าง ขนาดใหญ่กว่าใบหน้าของมนุษย์สองเท่า พร้อมเขี้ยวยาวสองข้างที่ยาวเหมือนงา ยื่นออกมาจากปากของเขา ดวงตาสีแดงกลมกำลังมีความสุขกับการมองเห็นผู้คนถูกทรมาน เขาต้องการให้ทุกคนกระเสือกกระสน เพื่อทำงานให้มากขึ้นกว่าเดิม เขารู้ดีว่ามันเป็นการพยายามอย่างหนัก เขาจะทำสำเร็จในสิ่งที่พ่อของเขาทำไม่ได้ เขาตัวใหญ่กว่าโทรลทั่วไปสองเท่า และใหญ่กว่ามนุษย์สามเท่า เวซูเวียสร่างกายกำยำและเกรี้ยวกราด เขารู้ว่าเขาแตกต่าง เขาสามารถทำสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน เขาได้วางแผนซึ่งแม้แต่บรรพบุรุษของเขาไม่สามารถคาดคิดได้ แผนการที่จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ชาติพันธุ์ของเขาไปตลอดกาล มันจะเป็นอุโมงค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา อุโมงค์ที่จะพาพวกเขาไปยังเบื้องล่างของกำแพงอัคคี หนทางที่จะนำไปสู่เอสคาลอน การทุบค้อนแต่ละครั้ง ทำให้อุโมงค์ค่อย ๆ ลึกลงไปมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่มีครั้งใดในศตวรรษที่ผู้คนของเขาสามารถคิดออกว่าจะข้ามกำแพงอัคคีไปได้อย่างไร โทรลบางตัวสามารถผ่านทะลุไปได้ แต่ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากภารกิจฆ่าตัวตาย สิ่งที่เวซูเวียสต้องการคือกองทัพโทรลทั้งหมดข้ามไปพร้อมกันในคราเดียว เพื่อทำลายล้างเอสคาลอนให้สิ้นซาก พ่อของเขาไม่สามารถเข้าใจว่าต้องทำมันอย่างไร และพวกเขากลับพอใจกับการใช้ชีวิตที่เหลือในป่าแห่งมาร์ดา แต่นั่นไม่ใช่เขา เวซูเวียสฉลาดกว่าบรรพบุรุษของเขาทั้งหมด แข็งแกร่งกว่า แน่วแน่กว่า และไร้ซึ่งความปราณี วันหนึ่งในขณะที่กำลังครุ่นคิด เขาคิดว่าถ้าเขาไม่สามารถฝ่ากำแพงอัคคีหรือข้ามไปได้ เขาจะไปทางใต้ดิน ความคิดนี้ช่างยอดเยี่ยม เขาทำให้แผนของเขากลายเป็นจริงและไม่เคยหยุดพักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาสั่งการทหารและทาสนับพันทำการสร้างเส้นทางที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอาณาจักรโทรล อุโมงค์ภายใต้กำแพงอัคคี

เวซูเวียสมองดูด้วยความพอใจ ในขณะที่ผู้คุมคนหนึ่งเอาแส้ฟาดลงบนทาสมนุษย์ ซึ่งพวกเขาจับได้จากฝั่งตะวันตก กำลังถูกล่ามโซ่อยู่กับทาสคนอื่นอีกนับร้อย มนุษย์ต่างกรีดร้องและล้มลง พวกเขาจะถูกโบยจนกว่าจะตาย เวซูเวียสยิ้มกริ่ม มีความสุขที่ได้เห็นพวกมนุษย์ทำงานอย่างหนัก พวกโทรลของเขามีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ หน้าตาอัปลักษณ์กว่า กล้ามเนื้อขนาดใหญ่และใบหน้าผิดรูปร่าง เต็มไปด้วยความกระหายเลือดที่ไม่รู้จักพอ เขาพบว่ามนุษย์เป็นที่ระบายความรุนแรงที่ดีสำหรับผู้คนของเขา

ขณะที่เขาเฝ้ามองอยู่ เวซูเวียสยังคงรู้สึกหมดหวัง ไม่ว่าเขาจะจับมนุษย์จำนวนเท่าไรมาเป็นทาส ไม่ว่าทหารของเขาทำงานหนักเท่าไร ไม่ว่าเขาจะโบยพวกทาสหนักแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะทรมานหรือเข่นฆ่าคนของเขาเองเพื่อปลุกระดมพวกเขามากเพียงไร  ความคืบหน้ายังคงช้าเกินไป หินหนาเกินไป งานหนักมากเกินไป ถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ เขารู้ดีว่าจะไม่มีทางสร้างอุโมงค์นี้สำเร็จในช่วงชีวิตของเขา ความฝันในการรุกรานเอสคาลอนจะยังคงเป็นแค่ความฝันต่อไป

แน่นอนว่าพวกเขามีพื้นที่มากพอในมาร์ดา แต่ไม่ใช่พื้นที่ที่เวซูเวียสต้องการ เขาต้องการที่จะฆ่า เพื่อกำราบมนุษย์ทุกคน เพื่อเอาทุกสิ่งมาเป็นของเขา เพียงเพื่อความสนุก เขาต้องการทั้งหมด เขารู้ว่าถ้าเขาไปที่นั่น ถึงเวลาที่เขาจะต้องใช้มาตรการเด็ดขาด

“นายท่านและองค์ราชา?” เสียงเรียกดังขึ้น

เวซูเวียสหันไป ทหารของเขาหลายคนยืนอยู่ตรงนั้น สวมใส่ชุดเกราะสีเขียวของชนชาติโทรล ประดับตราสัญลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ไว้ด้านหน้า หัวหมูป่าคำรามคาบสุนัขอยู่ในปาก ทหารของเขาก้มหัวลง มองไปที่พื้น เหมือนเป็นสิ่งที่ถูกฝึกมาให้ปฏิบัติเมื่อปรากฏกายต่อหน้า

เวซูเวียสมองเห็นทหารโทรลถูกจับอยู่ระหว่างพวกเขา สวมใส่ชุดเกราะขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยดิน เศษเถ้าและมีร่องรอยของการโดนเผา

“พูดมาได้” เขาออกคำสั่ง

เหล่าทหารค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ดวงตาของเขา

“ทหารรายนี้ถูกจับได้ในมาร์ดา ทางป่าตอนใต้” ทหารคนหนึ่งรายงาน “เขาถูกจับได้หลังจากกลับจากกำแพงอัคคี”

เวซูเวียสมองดูทหารที่ถูกจับล่ามโซ่อย่างไม่สบอารมณ์ ทุก ๆ วันเขาส่งทหารไปทางตะวันตก ทั่วดินแดนมาร์ดา เพื่อทำภารกิจบุกฝ่ากำแพงอัคคีและรวมตัวกันในอีกฝั่งของเอสคาลอน ถ้าพวกเขามีชีวิตรอด พวกเขาได้รับคำสั่งให้สร้างความหวาดกลัวกับมนุษย์ให้มากที่สุด ถ้าพวกเขายังคงมีชีวิตรอด คำสั่งต่อไปของพวกเขาคือการเสาะหาหอคอยทั้งสองและขโมยดาบแห่งเพลิง อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถหยุดกำแพงอัคคีได้ ทหารโทรลส่วนมากไม่เคยมีใครกลับมาได้ พวกเขาถูกฆ่าระหว่างการเดินทางผ่านกำแพงอัคคี หรือไม่ก็โดยฝีมือของมนุษย์ในเอสคาลอน มันคือภารกิจที่ไม่ทางกลับ พวกเขาได้รับคำสั่งว่าห้ามกลับมา เว้นแต่ว่าพวกเขาจะกลับมาพร้อมกับดาบแห่งเพลิง

แต่บางครั้งทหารโทรลของเขาได้เล็ดรอดกลับมา ส่วนใหญ่บาดเจ็บจากการเดินทางผ่านกำแพงอัคคี ไม่ประสบความสำเร็จในภารกิจ แต่หาทางกลับมาทันที เพื่อซ่อนตัวอย่างปลอดภัยในมาร์ดา เวซูเวียสไม่มีความอดทนสำหรับพวกโทรลเหล่านี้ เขาถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่

“เจ้านำข่าวอันใดมาจากตะวันตก?” เขาถาม “เจ้าพบดาบหรือไม่?” เขาเสริม

ทหารกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว

เขาส่ายหัวของเขาช้า ๆ

“ไม่พบ นายท่านและองค์ราชาของข้า” เขาพูด เสียงของเขาแหบแห้ง

เวซูเวียสรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ

“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงกลับมายังมาร์ดา?” เขาถาม

โทรลก้มหัวลง

“ข้าถูกซุ่มโจมตีโดยกลุ่มของมนุษย์” เขาพูด “ข้าโชคดีที่สามารถหลบหนีและกลับมาที่นี่ได้”

“แล้วเจ้ากลับมาทำไมหรือ?” เวซูเวียสกดดัน

ทหารมองไปที่เขา สับสนและเริ่มประสาทเสีย

“เพราะว่าภารกิจของข้านั้นสิ้นสุดลงแล้ว นายท่านและองค์ราชาของข้า”

เวซูเวียสเดือดดาล

“ภารกิจของเจ้าคือการค้นหาดาบ หรือพยายามจนตาย”

“แต่ข้าสามารถฝ่ากำแพงอัคคีไปได้!” เขาอ้อนวอน “ข้าสังหารมนุษย์ไปจำนวนมาก! และข้ากลับมาได้!”

“งั้นบอกบอกข้าสิ” เวซูเวียสพูดอย่างนุ่มนวล ก้าวไปข้างหน้าและวางมือของเขาลงบนบ่าของโทรล ในขณะที่ค่อย ๆ พาเขาเดินไปที่ขอบระเบียง “เจ้าคิดว่าเพียงแค่กลับมาแล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอดหรือ?”

ทันใดนั้น เวซูเวียสคว้าเสื้อด้านหลังของโทรล ก้าวไปข้างหน้า และโยนเขาข้ามขอบระเบียง

ทหารร่วงลงไป กรีดร้องอย่างสุดเสียง คนงานทั้งหมดเบื้องล่างต่างพากันหยุดและมองขึ้นมา เขาร่วงหล่นลงมาจากความสูงร้อยฟุต แล้วกระแทกเข้ากับหินข้างล่าง

คนงานทั้งหมดมองมาที่เวซูเวียส เขาจ้องกลับไป เขารู้ดีว่าสิ่งนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีสำหรับใครก็ตามที่ทำให้เขาผิดหวัง

พวกเขาหันกลับไปทำงานอย่างรวดเร็ว

เวซูเวียสยังคงโกรธและต้องการระบายใส่ใครสักคน เขาหันกลับมาจากระเบียงและก้าวลงไปยังขั้นบันไดหินที่เชื่อมต่อกับผนังของหน้าผา คนของเขาเดินตามมา เขาต้องการเห็นความคืบหน้าด้วยตัวเองอย่างใกล้ชิด และขณะที่เขากำลังลงไปข้างล่าง เขารู้ว่าเขาจะสามารถหาทาสที่น่าสมเพสเพื่อระบายความเดือดดาลนี้ได้

เวซูเวียสเดินลงไปตามบันไดที่แกะสลักจากหินสีดำ เดินวนลงไปทีละขั้น ลงไปยังด้านล่างของถ้ำขนาดใหญ่ บรรยากาศเริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขามาถึงพื้นถ้ำ ทหารอีกหลายสิบคนเข้ามาสมทบ กรุยทางผ่านไอร้อนของลาวา ระหว่างกลุ่มของคนงาน ในขณะที่เขาเดินไป ทหารและทาสนับพันหยุดทำงาน ต่างหลีกทางให้กับเขาและก้มหัวลง

ข้างล่างนี้ร้อนมาก ความร้อนจากพื้นไม่เพียงแต่ทำให้มนุษย์เหงื่อไหล แต่ยังมีรอยแตกของลาวาที่ปะทุขึ้นมาและไหลซึมออกจากกำแพง ประกายไฟจากหินในขณะที่พวกเขาใช้ขวานและพลั่วทุบลงไป เวซูเวียสสาวเท้าผ่านพื้นถ้ำอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งในที่สุดเขามาถึงทางเข้าอุโมงค์ เขายืนอยู่ข้างหน้า จ้องมองความกว้างหนึ่งร้อยฟุตและความสูงห้าสิบฟุต อุโมงค์ถูกขุดให้ลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ลึกเข้าไปในพื้นโลก ลึกมากพอที่จะรองรับกองทัพเมื่อเวลาที่จะต้องลงไปใต้กำแพงอัคคีมาถึง สักวันหนึ่งพวกเขาจะทะลวงเข้าไปยังเอสคาลอน ขึ้นไปบนพื้นดินและจับทาสมนุษย์นับพันคน เขารู้ว่านั่นจะเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของเขา

เวซูเวียสเดินตรงไป คว้าแซ่มาจากมือของทหาร ง้างมือขึ้นไปและฟาดลงใส่ทหารซ้ายทีขวาที พวกเขาทั้งหมดต่างเร่งทำงาน ทุบหินเร็วขึ้นสองเท่า ทุบตีหินดำจนฝุ่นละอองลอยฟุ้งเต็มไปหมด จากนั้นเขาเดินไปยังทาสมนุษย์ ทั้งชายและหญิงที่ถูกลักพาตัวมาจากเอสคาลอนและสามารถนำกลับมาได้ นั่นคือภารกิจที่เขาชื่นชอบมากที่สุด ภารกิจหนึ่งเดียวเพื่อสร้างความหวาดกลัวในฝั่งตะวันตก มนุษย์ส่วนใหญ่จะตายระหว่างทางกลับมา แต่บางส่วนก็มีชีวิตรอด แม้ว่าจะถูกเผาไหม้และพิการ คนเหล่านี้ทำงานอย่างหนักในอุโมงค์ของเขา

เวซูเวียสพุ่งตรงไปที่พวกเขา เขายัดแส้ใส่มือของมนุษย์และชี้ไปที่ผู้หญิง

“ฆ่าเธอ!” เขาออกคำสั่ง

มนุษย์ยืนอยู่ตรงนั้น ตัวสั่นเทิ้มและส่ายหัวของเขา

เวซูเวียสดึงแส้กลับมาจากมือของเขา โบยใส่ผู้ชายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเขาหยุดหายใจและตายสนิท

คนอื่น ๆ กลับไปทำงาน ต่างหลบสายตาของเขา เวซูเวียสขว้างแส้ของเขาทิ้ง หายใจอย่างรุนแรง และจ้องกลับไปยังปากถ้ำ ราวกับกำลังจ้องไปยังศัตรูคู่อาฆาตของเขา มันคือภาพนิมิต มันกำลังเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ

“นายท่านและองค์ราชา” เสียงดังขึ้นข้างหลัง

เวซูเวียสหันหลังกลับไป ทหารหลายคนจากมันตรา หน่วยทหารโทรลขั้นสูงของเขา แต่งกายในชุดเกราะสีดำและสีเขียว ซึ่งมีไว้สำหรับทหารชั้นยอด พวกเขายืนอยู่ที่นั่นอย่างภาคภูมิ มือถือทวนอยู่ข้างกาย พวกเขาคือโทรลส่วนน้อยที่เวซูเวียสให้ความเคารพ เมื่อมองเห็นพวกเขา หัวใจของเวซูเวียสเต้นเร็วขึ้น มันหมายถึงเพียงสิ่งเดียว พวกเขานำข่าวมาด้วย

เวซูเวียสได้ส่งหน่วยทหารไปยังมันตรา เพื่อปฏิบัติภารกิจเมื่อหลายคืนจันทราที่ผ่านมา การค้นหายักษ์ที่หลบซ่อนอยู่ในป่าเกรทวู้ด มีข่าวลือว่ามันฆ่าโทรลไปนับพัน ความฝันของเขาคือการจับเจ้ายักษ์ตัวนี้ พามันกลับมา และใช้แรงของมันในการสร้างอุโมงค์ เวซูเวียสส่งทหารออกไปทำภารกิจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่มีใครกลับมา พวกเขาทั้งหมดถูกยักษ์ฆ่าตาย

เวซูเวียสจ้องมองไปที่ทหารเหล่านี้ หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความหวัง

“พูดมา” เขาออกคำสั่ง

“นายท่านและองค์ราชา เราพบยักษ์แล้ว” ทหารรายงาน “เราได้ต้อนมันจนมุม คนของเรากำลังรอคำสั่งของท่าน”

เวซูเวียสค่อย ๆ ยิ้มกริ่ม รู้สึกดีใจเป็นครั้งแรก นานมากแล้วเท่าที่เขาจะจำได้ เขาเผยรอยยิ้มกว้างขึ้น แผนการผุดเข้ามาในใจของเขา เขารู้ว่าในที่สุดมันจะต้องเป็นไปได้ โอกาสที่เขาจะทะลวงกำแพงอัคคีใกล้เข้ามา

เขาจ้องมองกลับไปยังผู้บังคับบัญชา ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคิด พร้อมที่จะทำสิ่งที่เขาต้องการ

“พาข้าไปหามัน”

บทที่สิบสาม

ไคร่าเดินฝ่าหิมะที่ตอนนี้สูงระดับเข่าของเธอ ย่ำเท้าผ่านป่าแห่งหนาม ค้ำทางด้วยไม้เท้าที่อยู่ในมือ พยายามบุกบั่นเส้นทางที่พายุหิมะโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง แรงลมพัดกิ่งไม้หักโค่น ต้นไม้ใหญ่ต่างพากันโอนเอียง กระแสลมหนักหน่วงจนเกือบทำให้ต้นไม้แตกหักออกเป็นเสี่ยง ลมกระโชกพัดพาหิมะเข้าใส่ใบหน้าของเธอ ทำให้ยากต่อการมองเห็น ยากแม้แต่จะทรงตัวยืนด้วยสองขา แรงลมยังคงพัดอย่างต่อเนื่อง ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เธอใช้แรงทั้งหมดที่มีในการเดินไปในแต่ละก้าว

พระจันทร์สีเลือดหายไปนานแล้ว ราวกับมันได้ถูกพายุดูดกลืน ตอนนี้เธอไม่มีแสงนำทางอีกต่อไป ถึงแม้จะมีเธอก็แทบมองไม่เห็นสิ่งใด สิ่งที่เหลืออยู่คือเลโอ มันแนบตัวอยู่ข้างเธอ ค่อย ๆ เดินอย่างช้า ๆ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ การมีอยู่ของมันคือสิ่งปลอบใจเพียงอย่างเดียวของเธอ แต่ละก้าวของเธอดูเหมือนจะจมลึกขึ้นเรื่อย ๆ เธอสงสัยว่าการเดินของเธอได้คืบหน้าไปบ้างหรือยัง เธอต้องการกลับไปหาผู้คนของเธออย่างร้อนรน เพื่อเตือนพวกเขา แต่ละก้าวนั้นดูสิ้นหวังมากขึ้น

 

ไคร่าพยายามแหงนมอง หรี่ตามองเข้าไปในสายลม หวังว่าจะพบอะไรบางอย่าง อะไรก็ได้ เธอพยายามมองว่าเธอกำลังเดินไปถูกทางหรือไม่ แต่เหมือนเธอหลงทางอยู่ในโลกที่ปกคลุมไปด้วยสีขาว แก้มของเธอเจ็บปวดจากรอยข่วนของมังกร รู้สึกเหมือนถูกไฟไหม้ เธอเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัส มือของเธอเปื้อนเลือด มันเป็นความอบอุ่นเดียวที่เหลืออยู่ในจักรวาลนี้ แก้มของเธอปวดตุบ ๆ ราวกับมังกรได้ทำให้เธอติดเชื้อบางอย่าง

ลมแรงผลักให้เธอถอยหลังโซเซ ในที่สุดไคร่าก็รู้ว่าเธอไม่สามารถไปต่อได้ เธอต้องหาที่พัก เธอดูหมดหวังที่จะไปให้ถึงโวลิสก่อนทหารของลอร์ด แต่เธอรู้ว่าถ้าเธอยังเดินต่อไปเช่นนี้ เธอจะต้องตายอยู่ข้างนอกนี้เป็นแน่ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอโล่งอกคือความจริงที่ว่าทหารของลอร์ดไม่สามารถโจมตีได้ในสภาพอากาศแบบนี้ แม้ว่าทหารรับใช้จะไปถึงแล้วก็ตาม

ไคร่ามองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่พัก แต่ยิ่งมองหาเท่าไรก็พบว่าเป็นภาพลวงตา เธอมองไม่เห็นสิ่งใดเลยนอกจากสีขาวโพลนเต็มไปหมด ลมพัดเสียงดังมากจนเธอไม่สามารถใช้ความคิดได้ ไคร่าเริ่มตื่นตระหนก เธอนึกภาพของตัวเองและเลโอนอนแข็งอยู่ในหิมะ ไม่มีใครหาเธอพบ เธอรู้ว่าถ้าเธอไม่สามารถหาที่พักได้เร็ว ๆ นี้ เธอจะต้องตายอย่างแน่นอนในตอนรุ่งเช้า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เธอหวาดกลัว เธอรู้สึกหมดหวัง ค่ำคืนที่จากโวลิสมา ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอเลือกทางผิด

เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เลโอเริ่มเห่าหอน ทันใดนั้นมันหันไปมองและวิ่งออกไป มันวิ่งข้ามพื้นที่โล่ง เมื่อมันไปถึงอีกฝั่ง มันเริ่มขุดคุ้ยกองหิมะอย่างรวดเร็ว

ไคร่ามองดูอย่างสงสัยในขณะที่เลโอคำราม ตะกุยมืออย่างรวดเร็ว ขุดหิมะลึกลงไปเรื่อย ๆ เธอสงสัยว่ามันเจออะไร ในที่สุดเธอก็เห็นว่าเป็นทาง เธอตกใจที่เห็นว่ามีถ้ำอยู่ข้างล่าง ถ้ำจากด้านข้างของหินขนาดใหญ่ หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความหวัง เธอรีบเข้าไป ก้มตัวลง และเห็นว่ามันกว้างพอสำหรบการนอนพัก ข้างในยังแห้ง และปกป้องพวกเขาจากแรงลม

เธอก้มลงไปและจูบหัวของเลโอ

“เก่งมาก เจ้าหนู”

มันเลียเธอกลับ

เธอคุกเข่าลงและคลานเข้าไปในถ้ำ เลโออยู่ข้างกายเธอ เมื่อเข้าไปข้างในเธอรู้สึกถึงความโล่งใจขึ้นมาทันที ในที่สุดทุกอย่างก็เงียบลง เสียงของลมถูกปิดกั้นและเป็นครั้งแรกที่ไม่มีลมพัดผ่านใบหน้าของเธอ เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอสามารถหายใจได้อีกครั้ง

ไคร่าคลานเข้าไปผ่านใบเข็มของต้นสน ลึกเข้าไปในถ้ำ สงสัยว่ามันลึกแค่ไหน จนกระทั่งในที่สุดเธอก็ไปถึงผนังด้านหลัง เธอนั่งลง เอนหลังพิง และมองดูรอบ ๆ หิมะพัดเข้ามาข้างในบ้างเป็นบางครั้ง แต่พื้นที่ส่วนมากของถ้ำยังคงแห้งสนิท หิมะเข้ามาไม่ถึงตรงที่เธอนั่งอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงการผ่อนคลาย

เลโอคลานเข้ามาข้าง ๆ และซุกหัวของมันลงในตักของเธอ เธอโอบกอดมัน เอนหลังพิงกับหิน ตัวสั่นเทา พยายามทำตัวให้อบอุ่น ปัดเศษหิมะออกจากเสื้อและขนสัตว์ พยายามทำให้แห้ง เธอสำรวจบาดแผลของเลโอ โชคดีที่มันไม่ลึกมาก

ไคร่าใช้หิมะล้างบาดแผล มันส่งเสียงร้องคราง

“ชู่ว” เธอพูด

เธอเอื้อมมือไปในกระเป๋า และหยิบเนื้อแห้งชิ้นสุดท้ายให้กับมัน มันกินอย่างตะกละ

เมื่อเธอนั่งเอนหลังท่ามกลางความมืดมิด ฟังเสียงของลม มองดูหิมะที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง บดบังสายตาของเธอ ไคร่ารู้สึกราวกับว่ามันคือจุดจบของโลก เธอพยายามหลับตาลง ความรู้สึกอ่อนล้า ความหนาวเหน็บเกาะกินกระดูก เธอต้องการพักผ่อน แต่บาดแผลบนแก้มกระตุ้นเธอ แผลนั้นยังคงปวดตุบ ๆ

ในที่สุดดวงตาของเธอเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ เธอหลับตาลง ใบสนข้างล่างทำให้เธอรู้สึกสบายอย่างประหลาด ร่างกายของเธออิงแอบกับหิน แม้จะพยายามอย่างดีที่สุด ในไม่ช้าเธอพบว่าตัวของเธอได้ยอมจำนนต่ออ้อมกอดของการนอนหลับอันแสนหวาน

*

ไคร่าบินอยู่บนหลังของมังกร ล่องลอยอยู่ในชีวิตแสนสุข โฉบไปมาอย่างรวดเร็ว มังกรส่งเสียงร้องและกระพือปีก ปีกนั้นทั้งกว้างและงดงามยิ่งนัก มันใหญ่มากขึ้นเมื่อมองดูใกล้ ๆ ราวกับแผ่ขยายออกไปทั่วพิภพ

ท้องของเธอรู้สึกหวิวเมื่อมองดูข้างล่าง ไกลออกไปเบื้องล่างนั้นคือเนินเขาของโวลิส เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนในมุมสูงเช่นนี้ เธอบินอยู่เหนือชานเมืองสีเขียวขจี พร้อมกับเนินเขาสีเขียวที่เรียงตัวสูงต่ำดั่งคลื่นทะเล ผืนป่ากว้างขวาง แม่น้ำไหลเชี่ยว และไร่องุ่นที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งหมดคือภูมิทัศน์ที่เธอคุ้นเคย ไคร่ามองเห็นป้อมปราการของพ่อ กำแพงอันเก่าแก่ที่รายรอบโอบล้อมชานเมือง ฝูงแกะวิ่งไปมาอยู่ข้างนอก

มังกรถลาลง ไคร่ารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เธอมองเห็นควันลอยขึ้นมา ไม่ใช่ควันจากปล่องไฟ แต่มันเป็นควันหนาสีดำ เมื่อเธอมองเข้าไปใกล้ ๆ เธอต้องตกใจที่เห็นป้อมปราการของพ่อเธอลุกเป็นไฟ เปลวเพลิงเผาไหม้ทุกสิ่งทุกอย่าง เธอมองเห็นกองทัพของลอร์ด เหยียดยาวไปตามเส้นขอบฟ้า พวกเขาล้อมรอบป้อมปราการและจุดไฟเผา เธอได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวน เธอรับรู้ได้ว่าทุกคนที่เธอรักและรู้จักในโลกนี้กำลังถูกสังหาร

“ไม่!” เธอพยายามตะโกน

แต่คำพูดติดอยู่ในลำคอ เธอไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้

มังกรแหงนคอ หันกลับมาและจ้องตาของเธอ ไคร่าต้องประหลาดใจที่เห็นว่ามันคือมังกรตัวเดียวกับที่เธอช่วยเอาไว้ ธีออส ดวงตาสีเหลืองของมันจ้องมองมาที่เธอ

เจ้าช่วยข้า เธอได้ยินเสียงมังกรพูดในดวงจิต ตอนนี้ข้าจะช่วยเจ้า เราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ไคร่า เราคือหนึ่งเดียว

ธีออสเอี้ยวตัวกะทันหัน ไคร่าสูญเสียการทรงตัว เธอหล่นลงไป

เธอกรีดร้องในขณะที่เธอดิ่งลงไปในอากาศ ตกลงมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่!” ไคร่าร้องเสียงหลง

ไคร่าลุกขึ้นนั่งกรีดร้องท่ามกลางความมืดมิด ไม่แน่ใจว่าอยู่ที่ไหน หายใจเหนื่อยหอบ เธอมองไปรอบ ๆ จนกระทั่งในที่สุดเธอก็รู้ว่าเธออยู่ในถ้ำ

เลโอร้องครางอยู่ข้างกาย หัวของมันอยู่ในตัก กำลังเลียมือของเธอ เธอหายใจเข้าลึก ๆ พยายามนึกว่าเธออยู่ที่ไหน มันยังคงมืดอยู่ หิมะข้างนอกยังคงโหมกระหน่ำ ลมพัดแรง และกองหิมะก่อตัวสูงขึ้น อาการปวดที่แก้มของเธอยิ่งแย่เข้าไปอีก เธอเอื้อมมือจับ และมองดูนิ้วที่เปื้อนเลือด เธอสงสัยว่าเลือดจะหยุดไหลบ้างไหม

“ไคร่า!” เสียงลึกลับตะโกนออกมา เหมือนกับเสียงกระซิบ

ไคร่าสะดุ้ง สงสัยว่าใครอยู่ในถ้ำนี้กับเธอ เธอมองเข้าไปในความมืดมิดอย่างระมัดระวัง มองเห็นรูปร่างที่ไม่คุ้นเคยยืนอยู่ในถ้ำข้างหน้า เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำและถือไม้เท้า ดูเหมือนเขาจะเป็นชายชราที่มีผมขาวเล็ดรอดออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ ไม้เท้าของเขาเรืองแสง เปล่งประกายออกมาในความมืดมิด

“เจ้าคือใคร?” เธอถามนั่งตัวตรงอย่างระวังตัว “เจ้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างไร?”

เขาเดินเข้ามา เธอต้องการเห็นหน้าของเขา แต่เขายังคงซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

“เจ้าค้นหาสิ่งใด?” เขาถาม น้ำเสียงที่ดูโบราณของเขา ทำให้เธอรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

เธอคิดเกี่ยวกับสิ่งนั้น และพยายามทำความเข้าใจ

“ข้าแสวงหาอิสรภาพ” เธอพูด “ข้าแสวงหาการเป็นนักรบ”

เขาส่ายหัวของเขาช้า ๆ

“เจ้าลืมบางอย่าง” เขาพูด “สิ่งที่สำคัญที่สุด เจ้าเสาะหาสิ่งใดกันแน่?”

ไคร่ามองกลับไป รู้สึกสับสน

ในที่สุดเขาเดินก้าวเข้ามาใกล้

“เจ้าเสาะหาโชคชะตาของเจ้า”

ไคร่าสงสัยในคำพูดของเขา

“และมากกว่านั้น” เขาพูด “เจ้าเสาะหาที่จะรู้ว่าเจ้าคือใคร”

เขาก้าวเข้ามาอีกครั้ง ยืนอยู่ในระยะใกล้ แต่ยังคงอยู่ในเงามืด

“เจ้าคือใคร ไคร่า?” เขาถาม

เธอมองกลับไปด้วยความว่างเปล่า เธอต้องการที่จะตอบ แต่ในตอนนี้เธอไม่รู้ เธอไม่แน่ใจกับทุกเรื่องอีกต่อไป

เจ้าคือใคร?” เขาถาม เสียงของเขาดังกึกก้องสะท้อนกับกำแพง จนทำให้เธอแสบหู

ไคร่ายกมือของเธอขึ้นป้องแสงไฟ ในขณะที่เขาเข้ามาใกล้ตัวเธอ

ไคร่าพยายามมองดู และเธอต้องตกใจที่พบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอค่อย ๆ ลดมือลง เธอรู้ว่าครั้งนี้ เธอได้ตื่นเต็มที่แล้ว

แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในถ้ำ สะท้อนกับหิมะและผนังถ้ำจนแสบตา เธอหรี่ตาลง รู้สึกสับสน พยายามรวบรวมสติของเธอ พายุหยุดลงแล้ว เมฆหมอกหิมะจางหายไป แต่ยังคงมีหิมะบางส่วนปิดกั้นทางเข้า เบื้องหน้านั้นคือท้องฟ้าที่ใส และนกที่กำลังส่งเสียงร้อง เหมือนกับการกำเนิดโลกใบใหม่

ไคร่าแทบจะไม่เชื่อว่าเธอรอดชีวิตจากค่ำคืนอันยาวนาน

เลโอกัดขากางเกงของเธอเบา ๆ และกระทุ้งเธออย่างกระวนกระวาย

ไคร่าค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยความสับสน เมื่อเธอทำเช่นนั้น เธอรู้สึกปวดร้าวขึ้นทันที ไม่เพียงแต่ความเจ็บปวดทั่วร่างกายที่มาจากการต่อสู้และแรงลม แต่ความเจ็บปวดที่สุดคือแก้มของเธอที่รู้สึกเหมือนโดนแผดเผา เธอนึกถึงกรงเล็บของมังกร เธอเอื้อมมือไปสัมผัสบาดแผล แม้ว่ามันจะเป็นเพียงรอยข่วน ถึงตอนนี้มันก็ยังไม่แห้ง และเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด

เธอยืนอย่างมึนงง เธอไม่รู้ว่ามันมาจากความเหนื่อยล้า ความหิวโหย หรือรอยข่วนของมังกร เธอก้าวเดินไปด้วยขาที่ไม่มั่นคง รู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวของเธอเอง เลโอนำทางเธอออกจากถ้ำ เพื่อออกไปสู่แสงตะวัน มันตะกุยหิมะเปิดทางให้เธอ

ไคร่าก้มตัวลงและก้าวออกมาข้างนอก เธอพบว่าตัวเธอเองถูกล้อมรอบอยู่ในโลกสีขาวโพลน เธอยกมือขึ้นป้องตาของเธอ สัมผัสกับความอบอุ่น แรงลมที่หนักหน่วงหายไปแล้ว แทนที่ด้วยเสียงนกร้อง แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านต้นไม้ในป่าใหญ่ เธอหันไปเห็นกองหิมะขนาดใหญ่ มันเป็นทางไปยังป่า เธอมองลงไปและเห็นว่าเธอยืนอยู่ในหิมะที่สูงเท่าต้นขาของเธอ

เลโอนำทางไป มันกระโดดผ่านหิมะ เธอต้องการกลับไปยังโวลิส เธอเดินตามเลโอ พยายามที่จะตามให้ทัน

ไคร่าพบว่าตัวเธอต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการก้าวขาแต่ละก้าว เธอเลียริมฝีปาก รู้สึกมึนงงขึ้นทุกขณะ เลือดยังคงอยู่ที่แก้มของเธอ เธอเริ่มสงสัยว่าแผลจะติดเชื้อ เธอรู้สึกว่าตัวเธอกำลังเปลี่ยนไป เธอไม่สามารถอธิบายได้ แต่เธอรู้สึกว่าเลือดของมังกรกำลังแผ่ไปทั่วร่างกายของเธอ

“ไคร่า!”

เสียงตะโกนดังขึ้นในระยะไกล เหมือนกับเสียงที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงมากมาย ต่างพากันตะโกนเรียกชื่อเธอ เสียงของพวกเขาถูกดูดกลืนไปในหิมะและต้นสน ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าที่เธอจะจดจำได้ว่ามันคือเสียงทหารของพ่อ พวกเขาอยู่ที่นี่ กำลังค้นหาเธอ

ไคร่ารู้สึกถึงความโล่งใจ

“อยู่นี่!” เธอตะโกน เธอคิดว่าเธอกำลังตะโกน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงของตัวเองแหบแห้งแทบจะกลายเป็นเสียงกระซิบ ในตอนนี้ เธอรู้ว่าเธออ่อนแอมากแค่ไหน บาดแผลจากกรงเล็บของมังกรได้ทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของเธอ บางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ

ทันใดนั้น เข่าของเธอทรุดอ่อนลง ไคร่าพบว่าตัวของเธอร่วงไปบนหิมะอย่างสิ้นแรง

เลโอร้องคราง มันหันไปและวิ่งไปหาเสียง

เธอต้องการเรียกมัน เรียกพวกเขาทั้งหมด แต่ตอนนี้เธออ่อนแออย่างที่สุด เธอนอนอยู่ตรงนั้น จมอยู่ในกองหิมะ มองขึ้นไปยังโลกสีขาว เมฆหมอกและดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว เธอหลับตาลง ร่างกายและจิตใจของเธอดำดิ่งไปกับการนิทราที่ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป

บทที่สิบสี่

อเล็คกุมมือรอบศีรษะเพื่อป้องกันแรงกระแทก รถลากที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชายกำลังแล่นกระเด็นกระดอนไปตามถนนลูกรังของชนบท รถกระเด้งไปมาดูเหมือนจะไม่มีทางสิ้นสุด มันดำเนินมาอย่างนี้ตลอดทั้งคืน รถลากเก่าเกรอะที่มีกรงเหล็กและล้อไม้นี้ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความไม่สบายมากที่สุด แรงกระแทกในแต่ละครั้ง ทำให้หัวของอเล็คชนเข้ากับไม้ข้างหลัง การกระแทกเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาหวังว่ามันจะเป็นอย่างนี้ไปอีกไม่นาน ถนนเส้นนี้คงจะสิ้นสุดในไม่ช้า

แต่หลายชั่วโมงล่วงเลยไป ถนนดูเหมือนจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น เขาตื่นมาตลอดทาง ไม่สามารถนอนหลับได้ ตลอดทั้งคืนรถลากหยุดที่หมู่บ้านต่าง ๆ และเลือกเด็กผู้ชายเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โยนพวกเขาเข้ามาในความมืดมิด อเล็ครับรู้ได้ว่าพวกเขามองมาอย่างพิจารณา ใบหน้าของความหดหู่จ้องมองมาที่เขา สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธ พวกเขาทั้งหมดอายุมากกว่า ดูเป็นทุกข์ และกำลังมองหาผู้เคราะห์ร้าย

ตอนแรกอเล็คคิดว่าพวกเขาทั้งหมดถูกเกณฑ์มาโดยไม่เต็มใจเพื่อไปรับใช้กำแพงอัคคี พวกเขาคงจะมีความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เด็กผู้ชายแต่ละคนมีความคิดของตัวเอง สิ่งที่อเล็ครับรู้ได้จากการสื่อสารมีเพียงแค่การมุ่งร้าย พวกเขามีใบหน้าที่หยาบกร้าน ไม่โกนหนวดเครา มีแผลเป็นทั่วไปหน้า จมูกที่ดูเหมือนแตกหักจากการต่อสู้มามากมาย ตอนนี้ใกล้จะรุ่งเช้าแล้ว อเล็คไม่ใช่เด็กผู้ชายเหมือนกับคนอื่นในรถลากที่เพิ่งอายุสิบแปดปี บางคนก็อายุมากกว่านั้น ส่วนใหญ่มีชีวิตที่ย่ำแย่ ดูเหมือนอาชญากร โจร นักข่มขืน ฆาตกร ทุกคนถูกโยนเข้ามารวมกัน พวกเขาทั้งหมดถูกส่งไปเฝ้ากำแพงอัคคี

อเล็คนั่งอยู่บนแผ่นไม้ที่หยาบแข็ง รู้สึกเหมือนกำลังเดินทางไปนรก หวังว่ามันจะไม่แย่ไปกว่านี้ แต่การจอดรับของรถลากไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาประหลาดใจเมื่อมีเด็กถูกยัดเข้ามาในรถลากมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเข้ามาครั้งแรก เด็กผู้ชายหลายคนดูเหมือนจะแน่นขนัดอยู่แล้วและไม่มีพื้นที่ให้ขยับ แต่ตอนนี้มันมากกว่าเดิมถึงสองโหลและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อเล็คแทบจะหายใจไม่ออก เด็กผู้ชายที่เข้ามาทีหลังจะถูกบังคับให้ยืน จับเพดานหรืออะไรก็ตามแต่ ส่วนใหญ่จะลื่นและล้มลงใส่คนอื่นเนื่องจากแรงกระแทกของรถลากในแต่ละครั้ง เด็กผู้ชายมากกว่าหนึ่งคนกำลังโมโหและผลักกัน เกิดการตะลุมบอนขึ้นอย่างไม่รู้จบตลอดทั้งคืน พวกเขาต่างตีศอกและผลักกันไปมา อเล็คมองดูด้วยสายตาที่เหลือเชื่อในขณะที่เด็กผู้ชายคนหนึ่งกัดหูของเด็กอีกคน สิ่งที่ช่วยให้เรื่องนี้ดูมีข้อดีอยู่บ้างคือพวกเขาไม่มีพื้นที่ให้เคลื่อนไหวได้เลย ไม่แม้แต่จะขยับไหล่ของพวกเขาเพื่อที่จะชก ดังนั้นพวกจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเลิกรากันไป พร้อมกับคำขู่ว่าจะจัดการต่อในภายหลัง

อเล็คได้ยินเสียงนกร้อง เขามองออกไปด้วยสายตาพร่ามัว แสงแรกของรุ่งอรุณเล็ดลอดผ่านเข้ามาในกรงเหล็ก เขาประหลาดใจที่วันหนึ่งได้ผ่านไปแล้ว เขายังคงรอดชีวิตมาได้ ค่ำคืนอันยาวนานที่สุดในชีวิตของเขา

เมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังรถลาก อเล็คเริ่มมองเห็นเด็กผู้ชายหน้าใหม่ที่เข้ามา เขาคือคนที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่มองเห็น และดูเหมือนจะอันตราย กลุ่มของเด็กผู้ชายป่าเถื่อน กล้ามเป็นมัด ๆ ขี้โมโห แผลเป็นเต็มตัว บางคนสัก บางคนดูเหมือนพวกเด็กเหลือขอของสังคม พวกเขาทั้งหมดกำลังหมดความอดทน อัดอั้นจากค่ำคืนที่ยาวนาน และอเล็ครู้สึกว่ารถลากกำลังจะระเบิด

“เจ้าดูเด็กเกินกว่าจะอยู่ที่นี่” เสียงนุ่มลึกพูดออกมา

อเล็คมองไปเห็นเด็กผู้ชาย น่าจะแก่กว่าหนึ่งหรือสองปี เขานั่งอยู่ข้าง ๆ ไหล่ชนกัน อเล็ครับรู้ได้ว่าเขาคือคนที่นั่งเบียดมาตลอดทั้งคืน เด็กผู้ชายไหล่กว้าง กล้ามเนื้อแข็งแรง หน้าของเขาดูไร้เดียงสา ใบหน้าใสซื่อของชาวนาที่ไม่เหมือนคนอื่น เขาดูเปิดใจและเป็นมิตร ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม อเล็ครู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นพวกเดียวกัน

“ข้ามาแทนพี่ชายของข้า” อเล็คตอบอย่างเรียบ ๆ ไม่รู้ว่าควรจะบอกเขามากแค่ไหน

 

“เขากลัวหรือ?” เด็กผู้ชายถามอย่างงุนงง

อเล็คส่ายหัวของเขา

“พิการ” อเล็คตอบ

เด็กผู้ชายพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ และมองไปที่อเล็คด้วยท่าทีเคารพ

พวกเขานั่งเงียบอยู่อย่างนั้น อเล็คมองไปที่เด็กผู้ชาย

“แล้วเจ้าล่ะ?” อเล็คถาม “เจ้าก็ดูไม่ใช่อายุสิบแปดเหมือนกัน”

“สิบเจ็ด” เด็กผู้ชายพูด

อเล็คสงสัย

“เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงอยู่ที่นี่?” เขาถาม

“ข้าอาสา”

อเล็ครู้สึกทึ่ง

“อาสา? ทำไมล่ะ?”

เด็กผู้ชายมองไปที่พื้นและยักไหล่

“ข้าต้องการหนี”

“ต้องการหนีจากอะไรหรือ?” อเล็คถาม รู้สึกไม่เข้าใจ

เด็กผู้ชายนิ่งเงียบ อเล็คสังเกตเห็นความหดหู่บนใบหน้าของเขา เขาเงียบไปและคิดว่าเขาคงจะไม่ตอบ  แต่ทันใดนั้น เด็กผู้ชายก็พูดพึมพำ “บ้าน”

อเล็คมองเห็นความเศร้าบนใบหน้าของเขาและข้าใจได้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านของเขาอย่างแน่นอน รอยแผลฟกช้ำที่แขนของเขา และท่าทางเศร้าหมองปนความโกรธ อเล็คได้แต่เพียงคาดเดา

“ข้าเสียใจด้วย” อเล็คตอบ

เด็กผู้ชายมองมาที่เขาด้วยท่าทีประหลาดใจ ราวกับไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับความเห็นอกเห็นใจในรถลากคันนี้ ทันใดนั้นเขายื่นมือมา

“มาร์โก้” เขาพูด

“อเล็ค”

ทั้งคู่จับมือกัน มือของเขาใหญ่กว่าอเล็คสองเท่า แรงจับที่แข็งแรงทำให้มือของอเล็คเจ็บ อเล็คสัมผัสได้ถึงความเป็นเพื่อนในตัวของมาร์โก้ เขารู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยก็มีเพื่อนอยู่ในกลุ่มของคนแปลกหน้า

“ข้าคิดว่าคงมีเพียงเจ้าคนเดียวที่อาสา” อเล็คพูด

มาร์โก้มองไปรอบ ๆ และยักไหล่

“ข้าคิดว่าเจ้าคงคิดถูก พวกนี้ส่วนมากถูกเกณฑ์มาหรือถูกจองจำ”

“ถูกจองจำหรือ?” อเล็คถามอย่างประหลาดใจ

มาร์โก้พยักหน้า

“ผู้เฝ้าประตูไม่ได้ประกอบด้วยทหารเกณฑ์เท่านั้น แต่ยังมีอาชญากรเช่นกัน”

“เจ้าเรียกใครว่าอาชญากรไอ้น้องชาย?” เสียงเถื่อน ๆ ดังขึ้น

ทั้งคู่หันไปและพบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เขาดูแก่ก่อนวัยจากชีวิตที่ยากลำบาก ดูเหมือนคนอายุสี่สิบแม้ว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบ เขามีใบหน้าขรุขระ ดวงตาแวววาว เขาก้มลงมาและจ้องไปที่หน้าของมาร์โก้

“ข้าไม่ได้พูดกับเจ้า” มาร์โก้ตอบอย่างไม่เกรงใจ

“งั้นหรือ แต่ตอนนี้เจ้าพูดกับข้าแล้ว” เด็กผู้ชายข่มขู่ เห็นได้ชัดว่าต้องการหาเรื่อง “พูดอีกครั้งสิ เจ้าต้องการเรียกข้าว่าอาชญากรต่อหน้าข้าหรือ?”

มาร์โก้หน้าแดง ขบกรามของเขา

“ใครอยากรับก็รับไป” มาร์โก้ตอบ

เด็กผู้ชายหน้าแดงด้วยความโกรธ อเล็คชื่นชมการไม่ยอมคน และไร้ซึ่งความกลัวของมาร์โก้ เด็กผู้ชายพุ่งเข้าใส่มาร์โก้ กำมือเขารอบคอมาร์โก้ และบีบด้วยแรงทั้งหมดของเขา

มันเกิดขึ้นเร็วมาก มาร์โก้ไม่ได้ทันระวังตัว ในระยะประชิดเช่นนี้ เขามีพื้นที่ไม่มากนักที่จะขยับร่างกาย ตาของเขาเหลือกในขณะที่เขากำลังขาดอากาศหายใจ พยายามปัดมือของเด็กผู้ชายออกไป มาร์โก้ตัวใหญ่กว่า แต่เด็กผู้ชายมีมือที่แข็งแรง หยาบกร้าน บางที่อาจเป็นมือจากการฆ่าคนมาหลายปี และมาร์โก้ไม่สามารถหลุดออกจากมือของเขาได้

“เอาเลย! สู้เลย!” เด็กผู้ชายคนอื่นตะโกนออกมา

ทุกคนต่างมุงดูการต่อสู้อย่างไม่เต็มใจนัก นี่คืออีกหนึ่งในการต่อสู้นับสิบครั้งที่ปะทุขึ้นตลอดทั้งคืน

มาร์โก้พยายามขัดขืน เขาเอนตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เอาหัวโขกเข้ากับเด็กคนนั้น ชนเข้าไปที่จมูกของเขา เสียงจมูกหัก เลือดทะลักออกมาจากจมูกของเด็กคนนั้น

มาร์โก้พยายามยืนขึ้นเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกัน แต่เมื่อเขาทำเช่นนั้น เด็กอีกคนกดเท้าข้างหนึ่งลงมาที่ไหล่ของเขา เขาถูกกดลงไป ในขณะเดียวกัน เด็กคนแรกที่ยังคงเลือดไหลทะลักออกจากจมูก เอื้อมไปที่เอวของเขา ดึงวัตถุเงาวาวออกมา มันสะท้อนเข้ากับแสงอาทิตย์ยามเข้า อเล็ครู้ได้ทันทีว่ามันคือมีดสั้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีเวลาให้มาร์โก้ตอบโต้

เด็กผู้ชายแทงมีดไปข้างหน้า เล็งไปที่หัวใจของมาร์โก้

อเล็คไหวตัว เขายื่นสองมือไปจับข้อมือของเด็กผู้ชาย และตรึงเข้ากับพื้น ช่วยมาร์โก้จากการโจมตีที่หมายเอาชีวิตได้ทันก่อนที่คมมีดจะปักลงบนอกของเขา คมมีดเฉียดมาร์โก้ไปอย่างหวุดหวิด เสื้อของเขาฉีกขาด แต่ยังไม่โดนผิวของเขา

อเล็คและเด็กผู้ชายล้มลงบนพื้นไม้ พยายามยื้อแย่งมีด มาร์โก้เอื้อมไปดึง และบิดข้อเท้าของเด็กคนนั้นจนเคล็ด

มือเปื้อนเหงื่อตะปบเข้าที่หน้าของอเล็ค เล็บนิ้วที่ยาวของเด็กผู้ชายข่วนหน้าของเขา และกำลังเอื้อมไปที่ดวงตา อเล็ครู้ว่าเขาต้องชิงลงมือก่อน เขาปล่อยมือที่ถือมีด หมุนตัวกลับและเหวี่ยงศอกของเขา กระแทกศอกเข้ากับกรามของเด็กผู้ชายเสียงดัง

เด็กผู้ชายลอยหมุนออกไป หน้าล้มลงกับพื้น

อเล็คหายใจเหนื่อยหอบ ใบหน้าของเขามีร่องรอยของการขีดข่วน เขาลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ มาร์โก้ยืนอยู่ข้างเขา ขนาบด้วยเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ ทั้งสองคนยืนเคียงข้างกัน มองดูเด็กผู้ชายที่มาทำร้ายพวกเขานอนแผ่อยู่บนพื้น ไม่ไหวติง หัวใจของอเล็คเต้นรัว เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่นั่ง เพราะมันทำให้เขาไร้ทางป้องกันตัวจากการโจมตีด้านบน เขาเลือกที่จะยืนตลอดทางที่เหลือดีกว่า แม้ว่ามันจะเป็นการเดินทางที่แสนยาวนานก็ตาม

อเล็คมองไปรอบ ๆ สายตามุ่งร้ายจ้องมาที่เขา ครั้งนี้แทนที่เขาจะหลบสายตา เขามองกลับไป เขาต้องแสดงความมั่นใจออกมาถ้าเขาต้องการจะมีชีวิตรอดจากกลุ่มนี้ ในที่สุดพวกเขาดูเหมือนจะมองเขาอีกแบบ คล้ายกับความเคารพ จากนั้นพวกเขาก็หลบสายตาไป

มาร์โก้มองลงดูรอยขาดที่เสื้อของเขา ซึ่งมีดเกือบจะแทงทะลุหัวใจ เขามองไปที่อเล็ค ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความซาบซึ้งใจ

“เจ้าคือเพื่อนแท้” มาร์โก้พูดอย่างจริงใจ

มาร์โก้เอื้อมมือไปที่แขนของอเล็ค อเล็ครับรู้ได้ถึงคำขอบคุณ เพื่อนคือสิ่งที่เขาต้องการจริง ๆ