Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

“ดังนั้น บางครั้งเธอก็ต้อง ซื้อ ตุ๊กตา” เขาพูดต่อจากไรล์ลี่ “แม้ว่ามันจะทำให้เธอเศร้า”

ไรล์ลี่ทุบพวงมาลัยด้วยกำปั้น

“พวกเธอทุกคนซื้อตุ๊กตา” เธอพูดอย่างคิดอะไรได้ “มัน เห็น พวกเธอซื้อตุ๊กตา และก็เห็นพวกเธอซื้อตุ๊กตาในร้านและในสถานที่เดียวกัน”

บิลพยักหน้า “เราต้องหาร้านนั้นให้เจอ” เขาบอก

“ใช่” ไรล์ลี่รับ “ที่ไหนซักแห่งในบริเวณหนึ่งพันกว่าตารางไมล์นี้ มีร้านขายตุ๊กตาที่เหยื่อทุกรายเข้าไป แล้วมันก็อยู่ในร้านนั้นด้วย ถ้าเราหาร้านนั้นเจอ ไม่แน่ – บางที – เราอาจจะเจอตัวมัน”

ในเวลานั้นเอง โทรศัพท์มือถือของบิลก็ดังขึ้น

“ฮัลโหล” เขาทักไป “ครับ เจ้าหน้าที่วาล์วเดอร์ ผมเจฟฟรี่ส์พูด”

ไรล์ลี่กลั้นเสียงโอดอย่างรำคาญ สงสัยว่าจะมีปัญหาอะไรที่วาล์วเดอร์จะเอามาให้พวกเขาต้องแก้กันอีก

เธอเห็นบิลอ้าปากค้างด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ

“พระเจ้า” เขาอุทาน “พระเจ้า โอเค โอเค พวกเราจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

บิลวางสายแล้วหันมาจ้องไรล์ลี่ พูดไม่ออกไปหลายวินาที

“วาล์วเดอร์กับพวกเจ้าหน้าที่ไก่อ่อนที่เขาพามาด้วยนั่น” เขาบอก “พวกเขาจับฆาตกรได้แล้ว”

บทที่ 19

ไรล์ลี่กับบิลมาถึงที่หน่วยวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อเจอวาล์วเดอร์รอพวกเขาอยู่ที่ประตู

“เราจับมันได้แล้ว” วาล์วเดอร์บอก นำทางพวกเขาเข้าไปในอาคาร “เราจับไอ้ฆาตกรได้แล้ว”

ไรล์ลี่จับความดีใจระคนโล่งใจได้ในน้ำเสียงของเขา

“จับได้ยังไง?” เธอถามคำถาม

“เจ้าหน้าที่เพจ คุณประเมินหวงกับเครตั้นต่ำเกินไปจริงๆ” วาล์วเดอร์ต่อว่า “หลังจากที่คุณไป พนักงานต้อนรับบอกพวกเขาเกี่ยวกับผู้ชายที่ดูโรคจิตที่ระยะนี้มาด้อมๆมองๆอยู่แถวคลินิค มันชื่อ แดเริล กัมม์ คนไข้ผู้หญิงหลายคนมาร้องทุกข์เกี่ยวกับเขา พวกเธอบอกว่ามันพยายามจะเข้าใกล้พวกเธอมากเกินไป ไม่เคารพสิทธิส่วนบุคคล มันยังพูดอะไรจาบจ้วงอีกหลายอย่าง แล้วเคยแอบเข้าไปในห้องน้ำหญิงครั้งหรือสองครั้งด้วย”

ไรล์ลี่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ตรวจสิ่งที่ได้รับรู้มาเปรียบเทียบกับการคาดคะเนเค้าโครงคนร้ายของเธอเอง อาจจะเป็นมันก็ได้ เธอคิด

รู้สึกถึงความตื่นเต้นในลำคอ

บิลถามวาล์วเดอร์ขึ้นว่า “ไม่มีใครโทรแจ้งตำรวจเกี่ยวกับนายกัมม์นี่เลยเหรอครับ”

พวกเขาให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อาคารเป็นคนจัดการ เจ้าหน้าที่บอกให้นายกัมม์อยู่ห่างๆ ในสถานที่แบบนั้นพวกเขาคงเจอพวกคนประหลาดไม่บ่อยนัก แต่หวงกับเครตั้นก็จับใจความรูปพรรณสัณฐานได้ พวกเขาคิดว่าฟังดูแล้วเหมือนกับฆาตกรที่เรากำลังตามล่า เลยไปหาเอาที่อยู่จากพนักงานต้อนรับมาแล้วก็ตรงไปที่อพาร์ทเม้นท์ของมัน”

“ท่านรู้ได้ยังไงว่าใช่เขา” ไรล์ลี่ถาม

“มันสารภาพเอง” วาล์วเดอร์ตอบอย่างขรึมๆ “เราได้คำสารภาพจากมันแล้ว”

ตัวไรล์ลี่เริ่มสัมผัสได้กับความรู้สึกโล่งอก “แล้วซินดี้ แมคคินน่อนล่ะ” เธอถาม “เธออยู่ที่ไหน”

“เรากำลังตามเรื่องอยู่” วาล์วเดอร์บอก

ความโล่งอกเมื่อสักครู่มลายหายไป “ท่านหมายความว่ายังไง ‘กำลังตามเรื่องอยู่’?” เธอถามอีก

“เรามีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ออกค้นหาทั่วบริเวณละแวกนั้นแล้ว ไม่คิดว่ามันจะเอาเธอไปไว้ที่ไหนได้ไกล ยังไงก็แล้วแต่ มันจะต้องบอกเราเร็วๆนี้ล่ะ ดูออกจะพูดมากอยู่”

ไอ้หมอนี่มันต้องใช่ให้ได้นะ ไรล์ลี่คิดในใจ ซินดี้ แมคคินน่อน จะต้องยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาไม่สามารถจะสูญเสียหญิงสาวไร้เดียงสาไปให้กับไอ้สัตว์ป่าวิกลจริตนี่ได้อีก เวลาของมันกำลังสั้นลงทุกที แต่ยังแน่ใจว่าเธอคงยังไม่ตายเร็วหลังจากถูกจับไปแบบนี้หรอก มันยังไม่ได้ลิ้มรสความรื่นรมย์จากการทรมานเธอเลย

บิลถามวาล์วเดอร์ขึ้น “ตอนนี้ผู้ต้องสงสัยอยู่ที่ไหนครับ”

วาล์วเดอร์ชี้ไปทางหนึ่ง “เรากักตัวมันไว้ที่ศูนย์กักกัน” เขาตอบ “ไปด้วยกันเลย ผมกำลังจะไปที่นั่น”

เขาเล่ารายละเอียดให้ทั้งสองฟังขณะเดินผ่านเข้าไปในอาคารทันสมัยของศูนย์วิเคราะห์พฤติกรรม สถานที่กักตัวผู้ต้องสงสัย

“พอเราแสดงตราประจำตัว” วาล์วเดอร์พูดอย่างเคร่งขรึม “มันก็เชิญให้เราเข้าไปนั่งในบ้านแล้วบอกให้ทำตัวตามสบาย ไอ้เวรจองหองเอ๊ย”

ไรล์ลี่ว่ามันก็ฟังดูถูกต้องแล้ว หาก แดเริล กัมม์ เป็นไอ้โรคจิตคนนั้นจริง การมาของเจ้าหน้าที่ก็อาจจะเป็นบทสรุปที่มันหวังเอาไว้ มันอาจจะอยากถูกจับมาโดยตลอดก็เป็นได้ใครจะรู้ หลังจากการเล่นเกมส์อย่างชาญฉลาดเหมือนแมวไล่จับหนูกับเจ้าหน้าที่มาสองปี บางทีรางวัลที่มันหวังจะได้มาตลอดอาจจะเป็นชื่อเสียง – มากกว่าชื่อเสียงที่จะได้เพียงเวลาสั้นๆด้วย

ปัญหาก็คือ ไรล์ลี่รู้ว่ามันยังสามารถเอาการจับตัวของเหยื่อรายล่าสุดมาต่อรองกับพวกเขาได้ แล้วนิสัยมันก็น่าจะเป็นคนแบบนั้นด้วย

“คุณน่าจะได้เห็นบ้านมัน” วาล์วเดอร์ร่ายต่อ “ห้องเล็กสกปรกเท่ารูหนู กับโซฟาพับเก็บได้แล้วก็ห้องน้ำแคบๆที่เหม็นบรรลัยไปถึงสวรรค์ บนกำแพงแทบจะทั่วห้องมีกระดาษตัดแปะข่าวเกี่ยวกับการข่มขืนแล้วฆ่าจากทั่วทุกสารทิศของประเทศ ไม่มีคอมพิวเตอร์ในห้อง อยู่หลงยุคอย่างแรง แต่จะบอกไว้อย่างนึง มันมีระบบฐานข้อมูลแบบอะนาล็อคของการฆาตกรรมวิปลาศที่สำนักงานตำรวจจะต้องอิจฉา”

“ถ้าให้ผมเดา” บิลร่วมวง “มันมีสารพัดข่าวแปะไว้เกี่ยวกับคดีของพวกเรา – แทบทุกข้อมูลที่ออกสู่สาธารณะมาตลอดสองปี”

“มันมีอยู่แล้วไม่ต้องเดา” วาล์วเดอร์บอก “เครตั้นกับหวงสอบปากคำไม่กี่คำถาม มันก็ทำตัวโคตรน่าสงสัยแล้ว สุดท้ายหวงถามมันว่ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ ซินดี้ แมคคินน่อน แล้วมันก็ตะกุกตะกัก เห็นชัดๆเลยว่ามันรู้ว่าเราหมายถึงใคร เรามีหลักฐานมากพอที่จะจับมัน แถมมันยังสารภาพแทบจะทันทีที่พาตัวมาถึงที่นี่”

ขณะนั้นเองวาล์วเดอร์เดินนำไรล์ลี่และบิลเข้ามาในห้องเล็กๆที่มีกระจกมองเห็นด้านเดียวผ่านเข้าไปในห้องสอบสวน

การสอบสวนดำเนินไปแล้ว ฟากหนึ่งของโต๊ะมีเจ้าหน้าที่เอมิลี่ เครตั้น นั่งอยู่ ส่วนเจ้าหน้าที่เคร็ก หวง นั้นเดินไปเดินมาอยู่ด้านหลังของเธอ ไรล์ลี่คิดในใจว่าเจ้าหน้าที่อายุน้อยสองคนนี้ดูมีของมากกว่าที่เห็นก่อนหน้านี้ ส่วนอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ มี

นายแดเริล กัมม์ นั่งอยู่ ข้อมือของเขาถูกล็อคกุญแจมือไว้บนโต๊ะ

ไรล์ลี่รู้สึกรังเกียจทันทีที่เห็นเขา หน้าตาท่าทางราวกับอึ่งอ่าง อายุราวสามสิบปี รูปร่างขนาดกลางและออกจะอ้วนเตี้ย แต่เขาก็ดูแข็งแรงพอจะเป็นภัยคุกคามได้อย่างสมเหตุสมผล โดยเฉพาะกับผู้หญิงในอารามตกใจและไม่มีทางสู้ หน้าผากของเขาเป็นเส้นแหลมยาวไปถึงด้านหลัง ทำให้ดูเหมือนกะโหลกของลิงโฮมินิดที่สูญพันธุ์ไปนานแล้ว คางก็แทบจะไม่มี พูดง่ายๆก็คือ เขาตรงกับเค้าโครงของคนร้ายในความคิดของเธอ และคำสารภาพเหมือนจะทำให้ปิดจบคดีนี้ได้

“เธออยู่ที่ไหน?” เครตั้นตะโกนถามใส่กัมม์

ไรล์ลี่ฟังออกจากน้ำเสียงว่าเครตั้นเริ่มจะหมดความอดทน กับคำถามซ้ำๆเดิมๆที่เธอถามมาแล้วหลายสิบรอบ

“ใครอยู่ที่ไหน” กัมม์ถามกลับในเสียงสูงไม่รื่นหูเอาเลย สีหน้าของเขาแสดงออกถึงอาการสบประมาทและโอหัง

“เลิกเล่นเกมส์กับพวกเราได้แล้ว” หวงพูดขึ้นเสียงเฉียบ

“ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรถ้าไม่มีทนายอยู่ด้วยใช่มั้ย” กัมม์ย้อน

เครตั้นพยักหน้า “เราบอกคุณแล้วไง ว่าจะพาทนายเข้ามาให้ทุกเมื่อหากคุณขอมา คุณพูดแต่ว่าไม่ต้องการทนาย นั่นก็เป็นสิทธิ์ของคุณเช่นกัน คุณจะสละสิทธิ์ในการขอทนายก็ได้ คุณเปลี่ยนใจแล้วหรือไง?”

กัมม์เอียงคอมองเพดาน ยิ้มหยันอย่างใช้ความคิด

“ให้ผมลองคิดดูก่อน ไม่ล่ะ ไม่ละกัน ผมยังไม่เอาทนาย”

หวงโน้มตัวข้ามโต๊ะไปตรงหน้าเขา พยายามไม่ให้ดูเหมือนการกรรโชก

“ผมขอถามเป็นครั้งสุดท้าย” เขาเริ่มพูด “คุณเอารถกระบะไปซ่อนไว้ที่ไหน?”

กัมม์ยักไหล่ “ผมก็จะพูดเป็นรอบสุดท้ายเหมือนกัน – รถกระบะอะไร? ผมไม่มีรถกระบะ ผมไม่มีแม้แต่รถธรรมดา บ้าเอ๊ย ใบขับขี่ผมยังไม่มีเลย”

พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ วาล์วเดอร์บอกกับไรล์ลี่และบิลว่า “ท่อนสุดท้ายเป็นความจริง ไม่มีใบขับขี่ ไม่เคยโหวตเลือกตั้ง ไม่มีเครดิตการ์ด ไม่มีอะไรซักอย่าง มันอยู่หลงยุคจริงๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรถกระบะถึงไม่มีทะเบียน เพราะมันน่าจะเป็นรถขโมยมา แต่ก็ไม่น่าจะขับไปได้ไกลในเวลาที่มี น่าจะอยู่แถวใกล้ๆอพาร์ทเม้นท์”

เจ้าหน้าที่เครตั้นแทบจะคำรามใส่กัมม์แล้วตอนนี้

“คุณคิดว่านี่มันตลกเหรอ ห๊ะ” เธอตะคอก “คุณเอาผู้หญิงไร้ทางสู้ไปมัดไว้ตรงไหนซักแห่ง คุณก็สารภาพมาเองแล้วนี่ เธอคงกลัวเกือบตาย และพนันได้เลยว่าคงหิวโหยมากด้วย คุณจะปล่อยให้เธอทรมานอีกนานแค่ไหน คุณตั้งใจจะปล่อยให้เธอตายไปจริงๆหรือไง”

กัมม์หัวเราะเยาะ

“แล้วหลังจากคำถามนี้คุณก็จะซัดผมน่วมเลยใช่มั้ย?” เขาย้อน “หรือว่านี่เป็นเวลาที่คุณบอกผมว่าคุณสามารถจะเปิดปากผมได้โดยไม่มีการเจ็บตัวใดๆ?”

ไรล์ลี่พยายามจะเงียบไว้ แต่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

“พวกเขาถามผิดคำถามแล้ว” เธอบอก

เธอดันตัวเองผ่านหน้าวาล์วเดอร์และเดินออกจากประตูเพื่อเข้าไปสู่ห้องสอบสวน

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหน้าที่เพจ” วาล์วเดอร์ออกคำสั่ง

ไรล์ลี่ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วผลักเข้าไปภายในห้อง เธอรีบเดินตรงเข้าไป วางสองมือลงบนโต๊ะ และโน้มตัวลงมาหากัมม์อย่างมาดร้าย

“บอกฉันมา แดเริล” เธอคำราม “คุณชอบตุ๊กตารึเปล่า?”

เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของแดเริลโชว์ร่องรอยของความตื่นตัว

“แล้วคุณเป็นใคร” เขาย้อนไรล์ลี่กลับ

“ฉันก็เป็นคนที่คุณไม่ควรจะโกหกใส่น่ะสิ” ไรล์ลี่ตอบ “คุณชอบตุ๊กตารึเปล่า”

แดเริลกวาดสายตามองทั่วไปหมดทั้งห้อง

“ผมไม่รู้” เขาบอก “ตุ๊กตาเหรอ? ผมว่ามันก็น่ารักดี”

“อ้อ คุณว่ามันน่าจะมากกว่าน่ารัก ว่ามั้ย” ไรล์ลี่ขู่ “สมัยคุณยังเด็ก คุณเป็นเด็กประเภทนั้นไง – ประเภทที่ชอบเล่นกับตุ๊กตา ประเภทที่เด็กคนอื่นๆชอบล้อเลียน”

แดเริลหันหน้าเข้าหากระจกด้านข้าง กระจกหน้าต่างที่มองเห็นอยู่ด้านเดียว

“ผมรู้ว่ามีคนอยู่ข้างหลังกระจกนั่น” เขาร้องเรียกให้ช่วย เสียงบอกถึงความกลัว “ใครก็ได้มาเอาผู้หญิงบ้านี่ออกไปให้พ้นๆผมที”

ไรล์ลี่เดินวนไปรอบโต๊ะ ผลักเจ้าหน้าที่หวงออกไปด้านข้าง และมายืนอยู่ข้างๆกัมม์ แล้วเธอก็เอาหน้ายื่นเข้าไปใกล้ๆหน้าเขา เขาผละตัวออกห่าง พยายามหลบสายตา แต่เธอก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาได้หายใจ หน้าพวกเขาอยู่ห่างกันเพียงแค่สามสี่นิ้ว

“คุณ ยัง ชอบเล่นตุ๊กตาอยู่ใช่มั้ยล่ะ” ไรล์ลี่ตอกอารมณ์เข้าไปอีก ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “ตุ๊กตาเด็กหญิงตัวเล็ก คุณชอบจับมันมาเปลื้องผ้าใช่มั้ยล่ะ คุณชอบดูมันล่อนจ้อนใช่มั้ย แล้วคุณชอบทำอะไรกับมันเวลาที่มันล่อนจ้อน?”

แดเริลตาเบิกโพลง

ไรล์ลี่จ้องเขาเขม็งไม่หลบตาอยู่เป็นนาน เธอลังเล พยายามจะอ่านสีหน้าเขาให้ออก

มันเป็นอาการถูกสบประมาทหรือขยะแขยงกันนะที่ทำให้ปากเขาลู่ลงอย่างนั้น?

เธออ้าปากจะถามต่อ แต่ประตูห้องสอบสวนถูกกระแทกเปิดออกข้างหลังเธอ ได้ยินเสียงขึงขังของวาล์วเดอร์

“เจ้าหน้าที่เพจ ผมต้องการให้คุณออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”

“ขอเวลาอีกแค่นาทีเดียว” เธอบอก

“เดี๋ยวนี้!”

ไรล์ลี่ยืนคุ้มหัวกัมม์ในความเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ตอนนี้เขาดูงุนงงสับสน เธอมองไปรอบๆและเห็นหวงกับเครตั้นจ้องเธออย่างงุนงงไม่เชื่อสายตา แล้วเธอจึงหันเดินตามวาล์วเดอร์ออกไปเพื่อเข้าสู่ห้องเชื่อม

“นั่นมันเรื่องบ้าอะไรกัน” วาล์วเดอร์ถามอย่างออกคำสั่ง “คุณฝ่าฝืนคำสั่ง เพราะคุณยังไม่ต้องการให้คดีนี้ปิด คุณเริ่มทำใจได้แล้วล่ะ ตอนนี้สิ่งที่ยังเหลือต้องทำคือตามหาผู้เคราะห์ร้าย”

 

ไรล์ลี่คำรามเสียงดัง

“ดิฉันว่าท่านเข้าใจผิดแล้ว” เธอบอก “ดิฉันไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้ส่ออาการอะไรกับตุ๊กตาในทางที่ฆาตกรน่าจะเป็น ดิฉันต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อให้แน่ใจ”

วาล์วเดอร์จ้องเธอครู่หนึ่ง แล้วส่ายหัว

“มันไม่ใช่วันของคุณเลยจริงๆสินะ ใช่มั้ยเจ้าหน้าที่เพจ?” เขาบอกอย่างเอือมๆ “อันที่จริงผมว่าคุณไม่ได้สร้างผลงานที่ดีอะไรมาตลอดระยะเวลาการสืบคดีนี้เลย อ้อ คุณ เคย พูดถูกเรื่องหนึ่ง นายกัมม์ดูจะไม่มีความเกี่ยวพันใดๆกับท่านวุฒิสมาชิก – หรือเกี่ยวกับการเมืองหรือเรื่องส่วนตัวอะไรทั้งสิ้น แต่ก็อย่างว่านะ มันไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไร ผมมั่นใจว่าท่านวุฒิสมาชิกจะต้องรู้สึกขอบคุณที่เราสามารถนำตัวฆาตกรที่สังหารบุตรสาวท่านมาลงโทษได้”

ไรล์ลี่เก็บอารมณ์โมโหไม่ไหวอีกต่อไป

“เจ้าหน้าที่วาล์วเดอร์ ด้วยความเคารพนะคะ – ” เธอเริ่มจะพูดบ้าง

วาล์วเดอร์ตัดบทเธอทิ้งห้วน “และนั่นเลยคือปัญหาของคุณ เจ้าหน้าที่เพจ ความเคารพที่คุณมีต่อผมมันขาดแคลนอย่างรุนแรง ผมเหนื่อยกับความไม่เคารพผู้บัญคับบัญชาของคุณ ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่รายงานคุณในทางลบหรอก คุณทำผลงานที่ดีมาก่อนในอดีต และผมก็จะให้โอกาสคุณแก้ตัว ผมมั่นใจว่าคุณยังประสาทเสียจากเรื่องทั้งหมดที่คุณประสบมาด้วยตัวเอง แต่คุณกลับบ้านไปได้แล้วตอนนี้ เราจะจัดการที่เหลือเอง”

แล้ววาล์วเดอร์ก็เดินเข้าไปตบไหล่บิล

“ผมอยากให้คุณอยู่ต่อนะ เจ้าหน้าที่เจฟฟรี่ส์” เขาบอก

บิลนั้นดูฉุนมาก “ถ้าเธอไป ผมก็ไป” เขาคำรามออกมา

บิลเดินนำไรล์ลี่ออกไปในโถงทางเดิน วาล์วเดอร์ก้าวออกมานอกห้องเพื่อดูพวกเขาเดินออกไป แต่ไม่ไกลลงไปที่โถงทางเดิน ไรล์ลี่ความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม สีหน้าของผู้ต้องสงสัยนั้นแสดงออกว่าขยะแขยง ตอนนี้เธอแน่ใจแล้ว คำถามของเธอเกี่ยวกับตุ๊กตาเปลือยไม่ได้ปลุกเร้าเขา หากแต่มันทำให้เขางุนงงสับสนเท่านั้น

เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่างกาย ทั้งเธอและบิลมุ่งหน้าเดินต่อไปออกจากอาคาร

“เขาไม่ใช่ฆาตกร” เธอเอ่ยบอกบิลเบาๆ “ฉันแน่ใจว่าอย่างนั้น”

บิลมองตอบเธอ สีหน้าตกใจ เธอหยุดเดินหันมาจ้องหน้าเขาด้วยความจริงจังที่สุด

“เธอ ยังอยู่ข้างนอกนั่น” ไรล์ลี่บอกเพิ่ม “แล้วพวกเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเธออยู่ที่ไหน”

*

หลังจากค่ำมืดแล้ว ไรล์ลี่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ย้อนภาพรายละเอียดของคดีอยู่ในหัว เธอถึงขั้นส่งอีเมลและข้อความต่างๆไปหาสมาชิกองค์กร พยายามเตือนว่าวาล์วเดอร์นั้นจับคนร้ายมาผิดคน

เธอได้ขับรถไปส่งบิลที่บ้านแล้วและขับไปรับเอพริลกลับช้าอีกเช่นเคย ไรล์ลี่รู้สึกขอบคุณที่เอพริลไม่ได้บ่นอะไรให้เป็นเรื่องในคราวนี้ ยังคงอ่อนลงจากเรื่องสูบบุหรี่ยัดไส้กัญชา เอพริลค่อนข้างทำตัวดีเลยทีเดียวขณะที่พวกเขากำลังทำอาหารค่ำและนั่งคุยกัน

เที่ยงคืนมาและผ่านเลยไป ไรล์ลี่เหมือนว่าตัวเองวกไปวนมาอยู่ในความคิด เธอไม่ไปถึงไหนเลย รู้สึกอยากมีคนคุยด้วย มีคนให้ได้ลับสมอง เธอคิดว่าจะโทรหาบิล แน่ใจว่าเขาไม่มายด์แน่หากเธอจะโทรหาในเวลาดึกดื่นเช่นนี้

แต่ไม่ดีกว่า เธอต้องการคนอื่น – คนที่มีความรอบรู้แบบหาตัวจับได้ยาก คนที่เธอเชื่อใจวางใจกับการตัดสินใจของเขาได้ จากประสบการณ์ที่เคยพานพบมา

ในที่สุด เธอก็นึกออกว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร

เธอกดเบอร์บนโทรศัพท์มือถือและก็ต้องผิดหวังที่ได้ยินเสียงข้อความอัตโนมัติ

“คุณกำลังเข้าสู่บริการรับฝากข้อความของ ไมเคิล เนวินส์ กรุณาฝากข้อความหลังสัญญาณเสียง”

ไรล์ลี่สูดหายใจเข้าลึกก่อนพูดว่า “ไมค์ ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย? ถ้าคุณอยู่แถวนั้น ช่วยรับโทรศัพท์ด้วย มันเป็นเรื่องด่วนจริงๆ”

ไม่มีใครตอบกลับมา เธอไม่แปลกใจหรอกถ้าเขาจะไม่ว่าง เขาทำงานเกือบจะตลอดทุกชั่วโมง เธอแค่หวังว่านี่จะเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เขาว่างบ้าง

ในที่สุดเธอจึงพูดขึ้น “ฉันกำลังทำคดีหินอยู่เคสนึง แล้วก็คิดว่าคุณเป็นคนเดียวที่ช่วยฉันได้ ฉันจะขับรถไปหาที่ออฟฟิศพรุ่งนี้เช้านะ หวังว่าคุณจะโอเค อย่างที่ฉันบอก มันด่วนจริงๆ”

เธอวางสาย ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ เธอแค่หวังว่าจะข่มตานอนได้แม้เพียงซักสองสามชั่วโมง

บทที่ 20

เก้าอี้นั่งนุ่มสบายและสิ่งแวดล้อมก็ดูหรูหรา แต่แสงไฟอ่อนๆในห้องทำงานของ ไมค์ เนวินส์ ก็ไม่ได้ช่วยให้ไรล์ลี่รู้สึกดีขึ้น ซินดี้ยังคงหายตัวไป คงมีแต่พระเจ้าที่จะล่วงรู้ได้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้างในเวลานี้ เธอจะโดนทรมานหรือเปล่า เหมือนอย่างที่ไรล์ลี่เคยโดน

เหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ตามล่าหาตัวไปทั่วละแวกย่านยังไม่พบตัวเธอ ยังไม่เจอแม้ 24 ชั่วโมงจะผ่านพ้นไปแล้ว นั่นไม่ได้ทำให้ไรล์ลี่แปลกใจซักเท่าไหร่ เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาตามหากันผิดจุด ปัญหาก็คือทั้งเธอและทุกคนไม่มีใครรู้ว่าจุดที่ถูกมันอยู่บริเวณไหน เธอไม่อยากจะคิดว่าฆาตกรได้พาเธอไปไกลแค่ไหนแล้ว – หรือแม้กระทั่งว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

“เรากำลังปล่อยให้เธอหลุดมือไป ไมค์” ไรล์ลี่บอกเขา “ทุกๆนาทีที่ผ่านไป เธอก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น ใกล้ความตายเข้าไปทุกที”

“อะไรทำให้คุณมั่นใจว่าพวกเขาจับผิดคน” นิติจิตเวช ไมเคิล เนวินส์ ถามเธอ

กิริยามารยาทดีอยู่เสมอและสวมเสื้อเชิ้ตราคาแพงทับด้วยเสื้อกั๊กอีกหนึ่งชั้น เนวินส์เป็นคนมีบุคลิกค่อนข้างหยุมหยิม ไรล์ลี่ชอบเขาก็ตรงนี้ เธอว่าเขาแปลกใหม่ดี พวกเขาพบกันครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อน สมัยที่เขายังเป็นที่ปรึกษาในคดีไฮโซของเอฟบีไอที่เธอร่วมทำอยู่ด้วย ออฟฟิศของเขาอยู่ในวอชิงตันดีซี พวกเขาจึงไม่ได้พบปะสังสรรค์กันบ่อยนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็พบว่าหากพวกเขาร่วมมือกันทำงาน ทั้งสัญชาตญาณของเธอบวกกับประวัติความรอบรู้เรื่องลึกๆของเขา จะทำให้ทั้งสองได้เข้าใจและเปิดโลกทัศน์ใหม่เข้าไปในจิตใต้สำนึกของพวกที่มีมโนสำนึกชั่วร้าย เธอขับรถมาหาเขาเป็นอย่างแรกเลยในเช้านี้

“ฉันจะเริ่มยังไงดี” ไรล์ลี่ตอบ สั่นระริกด้วยความกลัว

“ค่อยๆบอกผม” เขาบอก

เธอจิบชารสชาติดีในถ้วยที่เขาส่งให้

“ฉันเจอเขาแล้ว” เธอเอ่ย “ได้สอบปากคำไม่กี่ข้อ แล้ววาล์วเดอร์ก็ไม่อนุญาตให้ฉันใช้เวลากับเขาไปมากกว่านั้น”

“แล้วเขาไม่ตรงกับที่คุณคิดไว้เหรอ”

“ไมค์ นายแดเริล กัมม์ คนนี้ เป็นพวกวันนาบี พวกอยากจะเป็นเหมือนคนอื่น” เธอว่าต่อ “เขามีจินตนาการคลั่งไคล้เกี่ยวกับพวกฆาตกรโรคจิต อยากจะเป็นหนึ่งในนั้น อยากจะโด่งดังแบบนั้น แต่ไม่มีฝีมือหรือความสามารถพอ เขาก็ดูจิตๆนะ แต่ไม่ใช่แบบพวกฆาตกร ตอนนี้เขาก็แค่ได้โอกาสจะทำอะไรอย่างที่จินตนาการไว้จนมิดด้าม เหมือนฝันที่เป็นจริงน่ะ”

ไมค์ลูบคางอย่างใช้ความคิด “แล้วคุณไม่คิดว่าฆาตกรตัวจริงต้องการชื่อเสียง?”

เธอกล่าวต่อ “เขาอาจจะสนใจชื่อเสียง หรืออาจจะต้องการมันด้วยก็ได้ แต่มันไม่ได้จี้เขาถูกจุด เขามีแรงขับเคลื่อนอื่น บางอย่างที่เป็นส่วนตัว เหยื่อต้องมีความหมายอะไรบางอย่างสำหรับเขา และเขาก็สะใจที่เห็นพวกเธอเจ็บปวดเพราะสิ่งที่พวกเธอเป็นหรือสิ่งที่พวกเธอมีความหมายถึง เขาไม่ได้เลือกเหยื่อส่งๆไปนะ”

“แล้วเลือกยังไง”

ไรล์ลี่สั่นหัว หวังว่าเธอจะบอกออกมาเป็นคำพูดได้ดีกว่านี้

“มันต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับตุ๊กตาน่ะไมค์ ไอ้หมอนั่นมันหมกมุ่นกับตุ๊กตา แล้วตุ๊กตาก็ต้องเกี่ยวพันกับวิธีเลือกเหยื่อผู้หญิงของมัน”

แล้วเธอก็ถอนหายใจ จนถึงขั้นนี้แล้ว เธอยังรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองฟังดูไม่น่าเชื่อถือเลย แต่เธอก็มั่นใจว่าเธอมาถูกทาง

ไมค์เงียบไปซักพัก แล้วพูดขึ้นว่า “ผมรู้ว่าคุณมีพรสวรรค์ในการจำแนกความชั่วร้าย ผมเชื่อมั่นในสัญชาตญาณคุณมาเสมอ แต่ถ้าหากคุณพูดถูก งั้นผู้ต้องสงสัยคนนี้ที่พวกเขาคุมตัวอยู่ก็หลอกทุกคนได้อยู่หมัด ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอทุกคนจะโง่หรอกนะ”

“แต่บางคนน่ะโง่” ไรล์ลี่เถียง “ฉันสลัดภาพเหยื่อคนที่ถูกจับไปเมื่อวานออกจากหัวไม่ได้เลย คอยแต่จะคิดว่าเธอกำลังต้องเจออะไรอยู่ตอนนี้” และแล้วเธอก็โพล่งจุดประสงค์ที่เธอมาพบนิติจิตเวชในวันนี้ “ไมค์ คุณช่วยสอบปากคำนายแดเริล กัมม์ จะได้มั้ย? คุณเห็นเขาปุ๊บคุณจะดูเขาออกได้ภายในไม่กี่วินาที”

ไมค์แลดูชะงักไป “เขาไม่ได้เรียกผมให้ทำคดีนี้” เขาบอก “ผมเช็คดูคดีเมื่อตอนเช้าแล้วได้รู้ว่าด็อกเตอร์ราลสตั้นเป็นคนสอบปากคำเขาเมื่อวาน จากที่เห็นคือด็อกเตอร์ราลสตั้นก็เห็นด้วยว่ากัมม์คือฆาตกร เขาถึงขนาดให้กัมม์เซ็นต์คำรับสารภาพแล้ว ตามหลักขององค์กรก็ถือว่าคดีนี้มันจบแล้ว พวกเขาคิดว่าตอนนี้ก็เหลือแค่ตามหาเหยื่อให้พบ พวกเขามั่นใจว่าจะทำให้กัมม์พูดออกมาได้”

ไรล์ลี่กลอกตาด้วยความกระฟัดกระเฟียด

“แต่ราลสตั้นมันจอมปลอม” เธอบอก “เขาเป็นลิ่วล้อของวาล์วเดอร์ เขาก็ต้องสรุปตามแบบที่วาล์วเดอร์ต้องการอยู่แล้ว”

ไมค์ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแต่ยิ้มให้ไรล์ลี่ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าไมค์ก็คิดกับราลสตั้นแบบเดียวกับที่เธอสบประมาท แต่เขาก็มืออาชีพเกินกว่าจะพูดมันออกมา

“ฉันยังคิดเรื่องนี้ไม่ตกเลย” ไรล์ลี่ปรึกษา “คุณช่วยอ่านไฟล์นี้แล้วบอกหน่อยได้มั้ยว่าคิดว่ายังไง”

ไมค์แลดูคิดอะไรอยู่ลึกๆ แล้วจึงบอกเธอว่า “เรามาคุยเรื่องของคุณกันหน่อย คุณกลับมาทำงานนานแค่ไหนแล้ว”

ไรล์ลี่ถึงกับต้องนึกย้อนไป คดีนี้มันกลืนกินเธอเข้าไปทั้งๆที่ยังเป็นคดีใหม่อยู่แท้ๆ

“ประมาณอาทิตย์นึง” เธอบอก

เขาเอียงศีรษะมาอย่างเป็นห่วง “คุณทุ่มเทมาก คุณเป็นอย่างนี้ตลอด”

“ฆาตกรสังหารเหยื่อผู้หญิงไปหนึ่งคนในช่วงนั้นแล้วก็จับไปอีกหนึ่งคน ฉันน่าจะยังอยู่ทำคดีตั้งแต่ที่เห็นผลงานของมันตั้งแต่เมื่อหกเดือนก่อนแล้ว ฉันไม่น่าจะขอดร็อปออกไปเลย”

“คุณโดนขัดจังหวะต่างหาก”

เธอรู้ว่าเขาหมายถึงที่เธอถูกจับตัวไปทรมาน เพราะเธอใช้เวลาหมดไปหลายชั่วโมงในการอธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ไมค์ฟัง แล้วก็เป็นเขาที่ช่วยให้เธอผ่านมันมาได้

“ฉันกลับมาแล้ววตอนนี้ และผู้หญิงอีกคนกำลังเดือดร้อน”

“คุณทำคดีร่วมกับใครตอนนี้”

“บิล เจฟฟรี่ส์ เหมือนเดิม เขายอดเยี่ยมมากเพียงแต่จินตนาการของเขาไม่กว้างไกลเท่าของฉัน เขายังคิดอะไรไม่ออกเหมือนกัน”

“ทำงานกับเขาแล้วเป็นยังไง ต้องมาอยู่กับเจฟฟรี่ส์ทุกวันอย่างนี้”

“ก็ดี ทำไมถึงจะไม่ดีล่ะ”

ไมค์จ้องเธอเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเอนตัวเข้ามาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“ผมหมายถึง คุณแน่ใจนะว่าสมองคุณปลอดโปร่งแล้ว คุณชัวร์นะว่าคุณอยู่ในเกมส์นี้ ผมว่าสิ่งที่ผมต้องการถามคือ – จริงๆแล้วฆาตกรคนไหนกันแน่ที่คุณกำลังตามล่าอยู่”

ไรล์ลี่หรี่ตามองเขา แปลกใจเล็กๆกับการเปลี่ยนหัวข้อกะทันหันแบบนี้

“คุณหมายความว่ายังไง คนไหน” เธอถาม

“คนใหม่ หรือ คนเก่า”

ความเงียบแผ่เข้ามาตรงกลางระหว่างทั้งคู่

“ผมคิดว่าบางทีที่คุณมาเพื่อต้องการจะคุยเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณ” ไมค์เอ่ยอย่างนุ่มนวล “ผมรู้ว่าคุณมีปัญหาในการจะเชื่อว่าปีเตอร์สันนั้นตายไปแล้วในเหตุการณ์ระเบิดมาตลอด”

ไรล์ลี่ไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอไม่ได้คาดเอาไว้มาก่อน ไม่ได้คาดว่าลูกศรจะชี้มาทางเธอ

“นั่นไม่ใช่ประเด็น” ไรล์ลี่ตัดบท

“แล้วยาล่ะ ไรลี่” ไมค์ถาม

เป็นอีกครั้งที่เธอไม่ตอบ เธอไม่ได้กินยาระงับประสาทมาหลายวันแล้ว ไม่อยากให้ฤทธิ์ยาทำให้สมาธิเธอกุดไป

“ฉันไม่แน่ใจว่าฉันชอบทางที่คุณกำลังพาไปนะ” ไรล์ลี่บอก

ไมค์จิบชาอึกใหญ่จากถ้วยของเขา

“คุณแบกรับภาระทางอารมณ์มามาก” เขาเอ่ย “คุณเพิ่งหย่าไปในปีนี้ และผมก็รู้ว่าความรู้สึกคุณกับเรื่องนี้มันขัดแย้งกันอยู่ และยังมีเรื่องที่คุณสูญเสียแม่ไปอย่างโหดร้ายเมื่อหลายปีก่อน”

ไรล์ลี่หน้าแดงด้วยความขุ่นเคือง เธอไม่อยากจะพูดถึงเรื่องพวกนี้

“เราเคยคุยกันแล้วถึงสถานการณ์ที่คุณถูกจับตัวไป” ไมค์ร่ายต่อ “คุณผลักตัวเองไปเกินขีดสุด คุณทำเรื่องที่เสี่ยงอย่างมหันต์ การกระทำของคุณออกจะประมาทไร้การยั้งคิดไปหน่อย”

“แต่ฉันเอาตัวมารีออกมาได้นะ” เธอแย้ง

“โดยการเอาตัวเองเข้าแลกน่ะเหรอ”

ไรล์ลี่สูดหายใจเข้ายาว ลึก

“คุณกำลังบอกว่า บางทีฉันก็ทำตัวเองใช่มั้ย” เธอถาม “เพราะชีวิตแต่งงานของฉันพัง เพราะวิธีที่แม่ของฉันโดนฆ่าตาย คุณกำลังบอกว่าบางทีฉันก็คิดว่าฉันสมควรโดน ดังนั้นฉันจึงหาเรื่องใส่ตัวเอง ฉันเป็นคนพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น”

ไมค์ยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มแห่งความเห็นใจ

“ผมแค่บอกว่าคุณต้องลองหันกลับมามองตัวเองจริงๆจังๆซะที ถามตัวเองว่าอะไรที่มันเกิดขึ้นจริงๆข้างในใจ”

ไรล์ลี่ดิ้นรนเอาอากาศหายใจ พยายามฝืนน้ำตาไม่ให้ไหล ไมค์พูดถูก เธอสงสัยเรื่องพวกนี้มานานแล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคำพูดของเขาถึงแทงใจดำเธออย่างจัง แต่เธอก็ละเลยความคิดที่โผล่พ้นน้ำมาครึ่งหนึ่งพวกนั้น และตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วที่เธอต้องคิดว่าเรื่องพวกนี้มันจริงมั้ย

“ฉันแค่ปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ไมค์” เธอพูดในเสียงจุกก้อนสะอื้น

“ผมรู้ดี” เขาตอบ “ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เป็นความผิดของคุณ คุณรู้บ้างมั้ย? มันเป็นการโทษตัวเองของคุณที่ผมเป็นห่วง คุณพาตัวเองเข้าไปหาสิ่งที่คุณรู้สึกว่าสมควรโดน คุณสร้างปัญหาชีวิตของตัวคุณขึ้นมาเอง”

ไรล์ลี่ยืนขึ้น ทนฟังไม่ไหวอีกแล้ว

“คุณหมอ ฉันไม่ได้โดนจับตัวไปเพราะว่าฉันหาเรื่อง” เธอบอก “ฉันโดนจับตัวไปเพราะมันมีพวกโรควิปริตอยู่ข้างนอกนั่นต่างหาก”

*

ไรล์ลี่เร่งฝีเท้าไปทางออกที่ใกล้ที่สุด เข้าไปในสนามหญ้าโล่ง ช่างเป็นวันที่สวยงามในฤดูร้อน เธอสูดหายใจยาวหลายครั้ง หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ทำให้ตัวเองสงบลงบ้าง แล้วเธอจึงนั่งลงบนม้านั่ง เอาสองมือขึ้นมาปิดหน้า

ในขณะนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น

มารี

เซ้นท์ของเธอมันบอกทันทีว่าเธอมีเรื่องด่วน

ไรล์ลี่ตอบรับและไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงหอบหายใจเหมือนลมชัก

“มารี” ไรล์ลี่ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรน่ะ?”

เป็นเวลาครู่หนึ่งที่ไรล์ลี่ได้ยินแต่เสียงสะอื้น เห็นชัดว่ามารีนั้นอยู่ในสภาพที่แย่กว่าเธอซะอีก

“ไรล์ลี่” มารีอ้าปากพูดในที่สุด “คุณตามหามันเจอแล้วรึยัง? คุณได้ตามหามันบ้างรึเปล่า? มีใคร ได้ตามหามันบ้างมั้ย?”

ไรล์ลี่จิตตกทันที แน่นอนมารีกำลังพูดถึงปีเตอร์สัน เธออยากจะให้ความมั่นใจกับเธอว่าเขาได้ตายไปแล้ว โดนฆ่าตายไปในเหตุการณ์ระเบิดนั้น แต่จะให้เธอพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจได้ยังไงในเมื่อตัวเธอเองก็ยังมีความสงสัยในเรื่องนี้อยู่เลย เธอจำที่เจ้าหน้าที่นิติเวช เบ็ตตี้ ริชเตอร์ เคยบอกเธอไว้เมื่อหลายวันก่อนเกี่ยวกับโอกาสที่ปีเตอร์สันจะตายไปแล้วได้ดี

ฉันบอกได้ประมาณ 99%

ตัวเลขนั้นไม่ได้ช่วยให้ไรล์ลี่สบายใจ และมันคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่มารีจะอยากได้ยินหรือต้องการได้ยินในเวลานี้

“มารี” ไรล์ลี่พูดอย่างเศร้าๆ “ฉันไม่รู้จะทำอะไรได้”

มารีปล่อยโฮอย่างสิ้นหวัง เสียงนั้นทำให้ไรล์ลี่เย็นยะเยือกไปถึงกระดูก

 

“โอ้ พระเจ้า ถ้างั้นก็ต้องเป็น มัน!” เธอร้องครวญ “มันเป็นคนอื่นไปไม่ได้แล้ว”

ไรล์ลี่รู้สึกเส้นประสาทหดตัว “คุณพูดเรื่องอะไรมารี เกิดอะไรขึ้น”

มารีพรั่งพรูออกมาด้วยความรีบร้อน

ฉัน เคยบอก คุณไปแล้วว่ามันโทรมาหาฉัน ฉันตัดสายโทรศัพท์บ้าน แต่ไม่รู้ทำยังไงมันถึงได้เบอร์โทรศัพท์มือถือของฉัน มันโทรมาหาฉันอยู่ตลอดเวลา โทรมาไม่พูดอะไร แค่โทรมาแล้วหายใจใส่โทรศัพท์ แต่ฉันรู้ว่าต้องเป็นมันแน่ ไม่งั้นจะเป็นใครได้? แล้วมันเคยมาที่นี่ด้วย ไรล์ลี่ มันเคยมาที่บ้านฉัน”

ความตื่นตัวของไรล์ลี่เหมือนกำลังจะโดนเปิดสลักออกได้ในทุกวินาที

“คุณหมายความว่ายังไง?” เธอถาม

“ฉันได้ยินเสียงตอนกลางคืน มันโยนอะไรมาใส่ประตูและหน้าต่างห้องนอนของฉัน ฉันคิดว่าเป็นลูกหินพวกนั้น”

ไรล์ลี่ใจเต้นตึกตักเพราะเธอก็จำได้ว่ามีหินเล็กๆอยู่บนเฉลียงหน้าบ้านของตัวเองเหมือนกัน มันจะเป็นไปได้หรือที่ปีเตอร์สันยังมีชีวิตอยู่? แล้วทั้งเธอและมารีกำลังตกอยู่ในอันตรายอีกครั้งหรือเปล่า?

เธอรู้ว่าต้องเลือกใช้คำพูดอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่ามารีนั้นเหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้าย

“ฉันกำลังไปหาคุณเดี๋ยวนี้ มารี” เธอบอก “แล้วฉันจะให้องค์กรตรวจสอบเรื่องนี้ให้”

มารีปล่อยเสียงหัวเราะอย่างหมดหวังและขมขื่นออกมา

“ตรวจสอบเรื่องนี้ให้เหรอ” เธอย้ำคำ “ลืมไปซะเถอะไรล์ลี่ คุณเพิ่งพูดออกมาเองว่าคุณไม่รู้จะทำอะไรได้ คุณจะไม่ทำอะไรเลย ไม่มีใครจะทำอะไรเลย ไม่มีใครทำอะไรได้”

ไรล์ลี่เข้าไปในรถและเปิดเสียงโทรศัพท์เป็นแบบลำโพง เพื่อที่เธอจะได้ขับรถไปด้วยคุยไปด้วยได้

“อย่าเพิ่งวางสายนะ” เธอบอก ขณะที่เธอสตาร์ทเครื่องและมุ่งหน้าไปจอร์จทาวน์ “ฉันกำลังมาหาคุณแล้ว”