Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

บทที่ 14

อีกนิดเดียวก็จะถึงเมืองแซนฟิลด์แล้ว เมื่อจู่ๆไรล์ลี่ก็หักพวงมาลัยข้ามสองเลนและเบี่ยงออกไปบนทางออก

บิลนั้นประหลาดใจ “นี่เรากำลังจะไปไหน” เขาถามขึ้น

“เมืองเบลดิ้ง” ไรล์ลี่ตอบ

บิลจ้องหน้าเธอจากที่นั่งผู้โดยสาร รอให้เธออธิบายมากกว่านี้

“สามีของ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ยังอาศัยอยู่ที่นั่น” เธอบอก “เขาชื่อ รอย ใช่มั้ย? รอย เจอราตี้ แล้วเขาเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันด้วยใช่รึเปล่า?”

“จริงๆแล้ว เป็นร้านซ่อมและขายอะไหล่” บิลบอก

ไรล์ลี่พยักหน้า “เรากำลังจะไปเยี่ยมเขา” เธอตอบ

บิลยักไหล่อย่างไม่ค่อยแน่ใจ

“โอเค แต่ผมก็ไม่รู้นะว่าทำไม” เขาตอบ “เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็สอบสวนเขาละเอียดทีเดียวเกี่ยวกับการฆาตกรรมภรรยาของเขา แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า”

ไรล์ลี่ไม่พูดอะไรเลยซักพัก เธอรู้เรื่องพวกนี้หมดแล้ว แต่ยังไงก็ตาม เธอรู้สึกว่ามันยังมีอะไรต้องเรียนรู้เพิ่มอีก มันต้องมีช่องโหว่อะไรโดนปล่อยทิ้งไว้ในเมืองเบลดิ้ง แค่ระยะทางสั้นๆผ่านฟาร์มชนบทของรัฐเวอร์จิเนียเท่านั้นเอง เธอต้องรู้ให้ได้ว่ามันคืออะไร – ถ้าเธอทำได้ แต่เธอก็ชักเริ่มไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน

“ฉันมันขึ้นสนิมซะแล้วล่ะ บิล” ไรล์ลี่พูดเบาๆขณะขับรถ “มีอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อกี๊นี้ ที่ฉันมั่นใจมากว่า รอส แบล็คเวล ต้องเป็นฆาตกรที่เราตามหา ฉันควรจะต้องรู้ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็น แต่สัญชาตญาณของฉันมันเดี้ยงไปแล้ว”

“อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย” บิลตอบ “เจ้าหมอนั่นก็ดูจะตรงตามเค้าโครงคนร้ายที่คุณบอก”

ไรล์ลี่คำรามอยู่ในลำคอ “อืม แต่เค้าโครงคนร้ายของฉันมันผิดไง ฆาตกรของเราจะไม่มีทางจัดท่าทางตุ๊กตาแบบนั้นแน่ – และไม่ใช่ในที่สาธารณะด้วย”

“ทำไมล่ะ?” บิลถาม

ไรล์ลี่หยุดคิดไปซักพัก

“เพราะฆาตกรดูจริงจังกับตุ๊กตามากเกินไป” เธอตอบ “มันต้องมีความหมายลึกซึ้งอะไรสำหรับเขาแน่ ต้องเป็นเรื่องส่วนตัวอะไรซักอย่าง ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกเหมือนโดนดูถูกหากมาเห็นสิ่งที่แบล็คเวลกระทำกับตุ๊กตา ท่าท่างที่แบล็คเวลจับวางให้ตุ๊กตาน่ะ เขาน่าจะเห็นว่ามันเป็นการกระทำที่ต่ำช้า ตุ๊กตาไม่ใช่ของเล่นสำหรับเขา พวกมัน…ไม่รู้สิ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

“ผมรู้ว่าความคิดคุณทำงานยังไง” บิลบอก “และไม่ว่ามันจะเป็นอะไร เดี๋ยวคุณก็จะคิดออกได้เองในที่สุด”

ไรล์ลี่เงียบไป กำลังเล่นภาพเหตุการณ์ของสองสามวันที่ผ่านมาย้อนซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมอง แต่มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่มั่นใจมากขึ้น

“ฉันก็คิดผิดอยู่บ่อยๆเหมือนกัน” เธอบอกบิล “ฉันคิดว่าฆาตกรมันพุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนที่เป็นแม่ ฉันมั่นใจเลยทีเดียว แต่ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ไม่ได้เป็นแม่คน ฉันคาดผิดไปได้ยังไง”

“เดี๋ยวความคิดคุณก็จะไหลลื่นเองนั่นแหละ” บิลตอบ

พวกเขามาถึงชานเมืองของเมืองเบลดิ้งแล้ว บ้านเมืองดูโทรมและเก่า เป็นเมืองเล็กๆที่น่าจะอยู่มาแล้วหลายยุคสมัย หากแต่ฟาร์มใกล้ๆนี้น่าจะถูกซื้อโดยครอบครัวเศรษฐีที่อยากจะเป็น “ชาวนายกระดับ” ที่ยังคงเดินทางไปทำงานแสวงหาอำนาจในวอชิงตันดีซี สภาพเมืองเหมือนกำลังจะดับสลายขนาดที่ว่าบางคนอาจจะขับรถผ่านเมืองไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาถึงเมืองแล้ว

ร้านซ่อมและขายอะไหล่ยนต์ของ รอย เจอราตี้ นั้นมองเห็นได้ง่ายมาแต่ไกล

ไรล์ลี่และบิลลงจากรถและเดินเข้าไปในออฟฟิศด้านหน้าที่ค่อนข้างทรุดโทรม ไม่มีใครอยู่ในนั้น ไรล์ลี่กดออดเรียกอยู่ที่เค้าน์เตอร์ พวกเขารอแต่ไม่มีใครมาต้อนรับ ไม่กี่นาที พวกเขาก็เข้าไปสำรวจในอู่ซ่อมรถ เท้าคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากข้างใต้รถ

“คุณ รอย เจอราตี้ รึเปล่าคะ?” ไรล์ลี่ถามออกไป

“ครับ” เสียงตอบรับมาจากด้านล่างรถ

ไรล์ลี่มองรอบๆ ไม่มีคนงานซักคนให้เห็นเลย เศรษฐกิจมันแย่มากขนาดที่เจ้าของต้องลงมาทำทุกอย่างเองเชียวหรือ?

เจอราตี้เลื่อนตัวออกมาจากใต้รถ หรี่ตามองพวกเขาอย่างระแวงสงสัย เขามีรูปร่างบึกบึนในอายุประมาณสามสิบกลางๆถึงปลาย สวมชุดคลุมทั้งตัวที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำมัน เขาเช็ดมือกับผ้าสกปรกผืนหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน

“คุณไม่ใช่คนแถวนี้นี่” เขาบอก และเสริมว่า “มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ?”

“เรามาจากเอฟบีไอ” บิลตอบ “เราต้องการสอบปากคำคุณซักสองสามข้อ”

“อา พระเจ้า” เขาบ่นในลำคอ “ผมไม่มีเวลากับเรื่องพวกนี้”

“คงจะรบกวนคุณไม่นานหรอก” ไรล์ลี่บอก

“เอ่อ นี่คุณ” เขาบ่นรำคาญ “ถ้าเราจะต้องคุยกัน เราก็ต้องคุยกัน”

เขาเดินนำไรล์ลี่กับบิลเข้าไปในมุมเครื่องดื่มของพนักงานที่มีตู้กดน้ำกระป๋องสภาพเกือบพังอยู่หลายตัว พวกเขานั่งลงบนเก้าอี้พลาสติก ราวกับไม่มีคนอื่นอยู่แถวนั้นเลย รอยหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดโทรทัศน์สภาพเก่าคร่ำครึ เขากดเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายช่องจนมาหยุดอยู่ที่ซิทคอมเก่าแก่เรื่องหนึ่ง แล้วเขาก็จ้องเขม็งไปที่หน้าจอ

“เริ่มถามสิ่งที่คุณอยากรู้แล้วรีบทำให้มันเสร็จๆไปซักที” เขาเริ่ม “หลายวันมานี้ก็ยิ่งกว่านรกอยู่แล้ว”

ไรล์ลี่เดาได้อย่างทะลุปรุโปร่งทันทีว่าเขาหมายความว่าอะไร

“ฉันเสียใจด้วยที่ข่าวการฆาตกรรรมของภรรยาคุณถูกนำกลับมาเล่นอีกครั้ง” เธอบอก

“หนังสือพิมพ์บอกว่ามีอีกสองคดีที่เหมือนกัน” เจอราตี้พูด “ผมไม่อยากจะเชื่อเลย โทรศัพท์ผมสายแทบไหม้กับพวกนักข่าวที่โทรเข้ามา แล้วยังมีพวกชั่วที่ว่างโทรมาก่อกวนอีก อีเมลของผมก็เต็มจนล้น ไม่มีการเคารพสิทธิส่วนบุคคลหลงเหลืออยู่เลย สงสารก็แต่อีฟลิน – ภรรยาของผม – เธอสะเทือนใจมาก”

“คุณแต่งงานใหม่เหรอครับ” บิลถาม

เจอราตี้พยักหน้า ยังคงจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์ “เราแต่งงานกันเจ็ดเดือนหลังจากที่มาร์กาเร็ต…”

เขาไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้

“คนแถวนี้คิดว่ามันเร็วเกินไป” เขาบอก “แต่มันไม่เร็วไปเลยสำหรับผม ผมไม่เคยรู้สึกเหงามากมายขนาดนี้เลยในชีวิต อีฟลินเป็นเหมือนของขวัญจากสวรรค์ ผมไม่รู้ว่าผมจะกลายเป็นยังไงถ้าไม่มีเธอ ผมว่าผมคงไม่รอด”

เสียงของเขาเข้มขึ้นจากอารมณ์ความรู้สึก

“เรามีลูกสาวเล็กๆคนนึงแล้วตอนนี้ อายุหกเดือน ชื่อลูซี่ ความสุขของชีวิตผม”

เสียงหัวเราะจากซิทคอมในโทรทัศน์จู่ๆก็แทรกขึ้นมาในสถานการณ์ที่ช่างไม่เหมาะเอาเสียเลย เจอราตี้สูดน้ำมูกและกระแอมเพื่อเคลียร์ลำคอจากเสลดและเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

“ยังไงก็แล้วแต่ ก็ยังไม่คิดไม่ออกอยู่ดีว่าคุณมีอะไรจะถามผม” เขาพูดกึ่งถาม “ตามที่ผมเข้าใจ ผมได้ตอบคำถามไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างทุกรูปแบบเท่าที่พวกคุณคิดออกแล้วเมื่อสองปีก่อน มันก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ คุณก็ยังจับคนร้ายไม่ได้อยู่ดี แล้วคุณก็ไม่มีทางจะจับได้แล้วตอนนี้”

“เรายังกำลังพยายามอยู่นะคะ” ไรล์ลี่บอก “เราจะจับเขามาลงโทษให้ได้”

หากแต่ตัวเธอนั้นยังรู้สึกถึงความว่างเปล่าในคำพูดของตัวเอง

เธอหยุดซักพักแล้วจึงถาม “คุณพักอยู่ใกล้กับที่นี่เหรอคะ? ฉันกำลังอยากถามว่าเราจะขอไปเยี่ยมที่บ้านคุณจะได้หรือไม่ แค่ขอไปดูรอบๆ”

คิ้วของเจอราตี้นั้นผูกเป็นโบว์อย่างใช้ความคิด

“ผมจำเป็นต้องอนุญาตมั้ย? หรือผมมีทางเลือกอื่นหรือเปล่า?” เขาถาม

ไรล์ลี่ชะงักไปเล็กน้อยกับคำถามของเขา

“มันเป็นแค่คำขอน่ะค่ะ” เธอตอบ “แต่มันก็อาจจะมีประโยชน์”

เจอราตี้ส่ายหัวอย่างแน่วแน่

“ไม่” เขาตอบ “ผมต้องแบ่งเส้นไว้ให้ชัดเจน ตำรวจแทบจะย้ายมาอยู่กินนอนที่บ้านผมเมื่อสมัยเหตุการณ์ในช่วงนั้น บางคนก็มั่นใจเหลือเกินว่าผมนี่แหละคือคนที่ฆ่าเธอ บางทีตอนนี้พวกคุณก็อาจจะกำลังคิดแบบเดียวกันอยู่ก็ได้ ว่าผมฆ่าคน”

“ไม่ใช่” ไรล์ลี่ให้ความมั่นใจกับเขา “นั่นไม่ใช่เหตุผลว่าทำไมเราถึงมาที่นี่”

เธอมองเห็นบิลกำลังดูเครื่องอยู่อย่างจดจ้อง

เจอราตี้ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง เขายังคงร่ายต่อ “แล้วยังมีอีฟลินผู้น่าสงสาร – เธอต้องอยู่บ้านกับลูซี่ แล้วสภาพจิตใจเธอก็ย่ำแย่อยู่แล้วกับเสียงโทรศัพท์พวกนั้น ผมจะไม่ปล่อยให้เธอต้องมาเจออะไรมากกว่านี้ ผมเสียใจด้วย ผมไม่ได้อยากไม่ให้ความร่วมมือนะ แต่พอแล้วก็คือพอแล้ว”

ไรล์ลี่เดาได้เลยว่าบิลจะต้องแย้ง เธอจึงชิงพูดขึ้นมาก่อนเขา

“ฉันเข้าใจ” เธอตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ”

ไรล์ลี่แน่ใจว่าทั้งเธอและบิลน่าจะไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไรจากการเยี่ยมบ้านเจอราตี้อยู่แล้ว แต่เขาอาจจะยอมตอบซักคำถามสองคำถาม

“ภรรยาของคุณ – มาร์กาเร็ต ภรรยาคนแรกของคุณ – ชอบตุ๊กตารึเปล่าคะ?” ไรล์ลี่ถามอย่างระมัดระวัง “เธออาจจะมีสะสมตุ๊กตาบ้างรึเปล่า?”

เจอราตี้หันหน้ามาทางเธอ ละสายตาออกจากโทรทัศน์เป็นครั้งแรก

“ไม่นะครับ” เขาตอบ ดูมีทีท่าแปลกใจกับคำถาม

ไรล์ลี่ตระหนักได้ว่าคงไม่มีใครเคยถามคำถามประหลาดแบบนี้กับเขาเป็นแน่ จากทฤษฎีร้อยแปดที่ตำรวจจะสรรหามาคิดได้เมื่อสองปีก่อน ตุ๊กตาไม่น่าจะเป็นหนึ่งในนั้น และถึงแม้เขาจะต้องเจอกับการคุกคามจากสถานการณ์ในขณะนี้ คงไม่มีใครปะติดปะต่อความเกี่ยวพันกันกับตุ๊กตาอย่างแน่นอน

“เธอไม่ชอบตุ๊กตา” เจอราตี้กล่าวต่อ “ไม่ใช่ว่าเกลียด แต่มันแค่ทำให้เธอเศร้า เธอไม่สามารถ – เราไม่สามารถ – มีลูกได้ แล้วตุ๊กตาก็ทำให้เธอคิดถึงแต่เรื่องนั้น มันคอยย้ำเตือนเธอ บางครั้งเธอก็ร้องไห้เวลาอยู่กับตุ๊กตา”

ถอนหายใจหนักหน่วง แล้วจึงหันหน้ากลับไปทางโทรทัศน์อีกครั้ง

“เธอไม่มีความสุขเลยในช่วงปีหลังๆ” เขากล่าวในเสียงหลบต่ำ น้ำเสียงฟังดูห่างไกล “ผมหมายถึงกับการที่เราไม่มีลูก ทั้งเพื่อนๆและญาติๆหลายคนมีลูกเป็นของตัวเอง มันเหมือนกับว่าทุกคนมีลูกหรือเลี้ยงลูกกันตลอดเวลายกเว้นพวกเรา มีงานเลี้ยงรับขวัญหลานมาให้พวกเราต้องไปอยู่ตลอด บรรดาแม่ๆมาขอให้เธอไปช่วยจัดการเลี้ยงวันเกิดลูกให้ มันทำให้เธอจิตตก

ไรล์ลี่เหมือนมีก้อนสงสารมาจุกอยู่ที่คอหอย เธอรู้สึกเห็นใจชายผู้นี้ที่กำลังพยายามกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมหลังจากต้องเจอกับโศกนาฏกรรมที่รับไม่ได้เช่นนั้น

“ฉันคิดว่าเราหมดคำถามแล้วค่ะ คุณเจอราตี้” เธอกล่าว “ขอบคุณมากที่สละเวลาให้ ฉันรู้ว่ามันอาจจะดูช้าเกินไปมากที่จะพูด แต่ฉันเสียใจด้วยกับความสูญเสียของคุณ”

หลังจากนั้นไม่นาน ไรล์ลี่และบิลก็ขับรถออกไป

“มาเสียเวลาเปล่า” ไรล์ลี่พูดกับบิล

ไรล์ลี่มองกระจกหลังเห็นเมืองเล็กของเวลดิ้งกำลังค่อยๆลับตาไป เธอรู้แล้วว่าฆาตกรไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่มันต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในบริเวณที่ฟลอเรสชี้บนแผนที่ ที่ไหนซักแห่งที่ใกล้ๆนี้ ไม่แน่พวกเขาอาจกำลังขับรถผ่านบ้านของมันโดยไม่รู้ตัวก็ได้ตอนนี้ ความคิดนี้ทรมานไรล์ลี่มาก เธอแทบรู้สึกถึงการปรากฎกายของมันได้ ความกระตือรือร้นของมัน ความอยากในการทรมานและฆ่าเหยื่อที่กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ของมัน

และเธอต้องหยุดมันให้ได้

บทที่ 15

ชายหนุ่มถูกปลุกขึ้นจากเสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือ ทีแรกเขาไม่รู้ว่าตัวเขาอยู่ที่ไหน แต่สิ่งที่รู้คือวันนี้จะต้องเป็นวันสำคัญ เป็นวันที่เขามีชีวิตอยู่เพื่อรอมัน

เขารู้ว่ามันมีเหตุผลที่เขามาตื่นอยู่ในที่แปลกถิ่นนี้ – เพราะมันกำลังจะเป็นวันๆนั้น เป็นวันที่สร้างความพอใจอันหอมหวานให้แก่เขา และจะเป็นวันที่แสนหวาดกลัวและเจ็บปวดเหลือคณาสำหรับคนอื่น

แต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนล่ะ? ยังครึ่งหลับครึ่งตื่น ยังจำอะไรไม่ได้ เขานอนแผ่อยู่บนโซฟาในห้องที่ปูด้วยพรม จ้องมองไปที่ตู้เย็นและไมโครเวฟ แสงยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

เขาลุกขึ้นเปิดประตูห้องและมองออกไปนอกทางเดินมืดๆ กดเปิดสวิชต์ข้างๆกรอบประตู แสงสาดเข้าไปในทางเดินห้องโถงเข้าไปถึงประดูด้านตรงข้ามที่เปิดอยู่ เขาพอจะมองเห็นเบาะเตียงคนไข้สีดำกับกระดาษสีขาวปลอดเชื้อที่วางพาดคลุมอยู่ด้านบน

 

แน่ละ เขาคิดในใจ คลินิครักษาฟรี

ตอนนี้เขาจำได้แล้วว่าอยู่ที่ไหนและมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ยินดีกับตัวเองที่อึดถึกและมีไหวพริบ เขามาถึงที่คลินิคช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ ช่วงตอนที่ข้างในกำลังวุ่น ในระหว่างความพลุกพล่านของเหล่าคนไข้ เขาแค่เข้าไปขอวัดความดันง่ายๆ และ เธอ ก็คือนางพยาบาลที่วัดความดันให้กับเขา

ผู้หญิงคนนั้นเองที่เขามาเพื่อเจอโดยเฉพาะ ผู้หญิงคนที่เขาเฝ้ามองมาหลายวันแล้ว ทั้งที่บ้าน ทั้งเวลาเธอไปช็อปปิ้ง ทั้งเวลาที่เธอมาทำงานที่นี่

หลังจากวัดความดันแล้ว เขาก็ดันตัวเองเข้าไปอยู่ในช่องแคบลึกเข้าไปในตู้เก็บวัสดุการแพทย์ พวกสต๊าฟไร้เดียงสาช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย คลินิคนั้นปิดแล้วและทุกคนก็กลับบ้านไปหมด โดยที่ไม่แม้แต่จะมาตรวจเช็คตู้เก็บซัพพลาย หลังจากนั้นเขาก็คลานออกมาและทำตัวตามสบายประหนึ่งบ้านเขาเองที่นี่ ตรงมุมพักผ่อนของสต๊าฟ เขานอนหลับสบายดี

แล้ววันนี้ก็จะเป็นวันที่ไม่ธรรมดา

เขาปิดไฟเพดานลงทันที คนภายนอกจะต้องไม่รู้ว่ายังมีคนอยู่ในอาคาร เขามองดูเวลาบนนาฬิกามือถือ เหลืออีกไม่กี่นาทีก็จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว

เธอจะมาถึงในอีกไม่กี่นาทีนี้แล้ว เขารู้จากการเฝ้าสังเกตการณ์มาหลายวัน งานของเธอคือเตรียมความเรียบร้อยของคลินิคสำหรับทั้งแพทย์และคนไข้ในทุกๆเช้า ตัวคลินิคเองเปิดทำการตอนแปดโมงเช้า ในระหว่างเจ็ดถึงแปดโมง เธอจะอยู่ที่นี่คนเดียวเสมอ

แต่วันนี้จะไม่เหมือนเดิม วันนี้เธอจะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

เขาได้ยินเสียงรถเข้ามาจอดในลาดจอดรถด้านนอก เขาปรับมูลี่ให้พอดีต่อการมองออกไปด้านนอก เธออยู่นั่นเอง กำลังก้าวลงจากรถ

เขาไม่มีปัญหาในการควบคุมความตื่นเต้น ครั้งนี้ไม่ได้เหมือนสองครั้งแรกที่เขายังรู้สึกกลัวและหวาดหวั่น ตั้งแต่ครั้งที่สามเป็นต้นมา พอทุกอย่างมันเริ่มเข้าที่ เขาก็รู้ว่าเขาจับจุดได้แล้ว ตอนนี้เขาทั้งชำนาญและมีฝีมือ

แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เขาอยากจะทำให้แปลกออกไปจากทุกครั้ง เพียงเพื่อปรับกิจวัตร ให้ครั้งนี้มันแตกต่างจากครั้งก่อนๆเล็กน้อย

เขากะจะทำให้เธอประหลาดใจด้วยของฝากนิดหน่อย – ด้วยวิธีเรียกหาเหยื่อของเขาเอง

*

ขณะที่ ซินดี้ แมคคินน่อน เดินผ่านลานจอดรถที่ว่างโล่ง เธอก็คิดย้ำในหัวว่ากิจวัตรวันนี้เธอต้องทำอะไรบ้าง หลังจากที่เก็บวัสดุซัพพลายส์เข้าที่เรียบร้อยแล้ว งานที่ต้องทำสิ่งแรกคือต้องจัดทำใบขอซื้อให้ร้านขายยาและตรวจเช็คเพื่ออัพเดทปฏิทินนัดคนไข้

หลังจากเปิดคลินิคตอนแปดโมง ก็จะมีคนไข้มาเข้าคิวรอต่อแถวที่หน้าประตูแล้ว ช่วงเวลาที่เหลือของวันก็ต้องจัดการเรื่องกระจุกกระจิกจิปาถะ รวมถึงการตรวจวัดชีพจร, ตรวจเลือด, ฉีดยา, นัดกับคนไข้, และทำงานตามคำขอที่บางทีก็ไร้เหตุผลของเหล่าพยาบาลวิชาชีพและแพทย์

หน้าที่ของผู้ช่วยพยาบาลอย่างเธอมันไม่ได้สวยหรูเลย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็รักในงานที่เธอทำ มันเป็นความรู้สึกที่เต็มอิ่มที่ได้ช่วยคนที่หากไม่ได้มารักษาที่นี่ก็คงไม่สามารถสู้ค่ารักษาพยาบาลได้ เธอรู้ดีว่าที่นี่พวกเธอทำงานช่วยชีวิตคน แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่บริการขั้นพื้นฐานก็ตาม

ซินดี้ล้วงกุญแจคลินิคออกจากกระเป๋าและปลดล็อคประตูแก้วด้านหน้า เธอเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วและหันกลับไปล็อคประตูตามเดิม เดี๋ยวก็มีคนมาเปิดประตูอีกทีตอนแปดโมงเช้า หลังจากนั้นเธอก็รีบใส่รหัสโค้ดเพื่อยับยั้งการทำงานของระบบฉุกเฉินของอาคาร

ขณะที่เธอกำลังเดินไปที่บริเวณนั่งรอของคนไข้ บางอย่างเตะตาเธอ วัตถุเล็กๆวางกองอยู่บนพื้น ในแสงไฟสลัวเช่นนี้ เธอมองไม่ออกว่ามันคืออะไร

เธอกดเปิดไฟเหนือศีรษะ วัตถุที่อยู่บนพื้นเป็นดอกกุหลาบ

เธอเดินเข้าไปหยิบมันขึ้นมา ดอกกุหลาบไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอมทำมาจากผ้าถูกๆ แต่มันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

สงสัยคนไข้จะทำหล่นไว้เมื่อวาน แต่ทำไมไม่มีใครเก็บมันขึ้นมาหลังปิดคลินิคตอนห้าโมงเย็น?

แล้วทำไม เธอ ไม่เห็นมันเมื่อวานนี้? เธอว่าเธอรอจนแม่บ้านทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยนะ เธอเป็นคนสุดท้ายที่กลับบ้านและมั่นใจว่าไม่มีดอกกุหลาบหล่นอยู่ตรงนั้น

แล้วสารอดรินาลีนก็หลั่งไหลออกมาด้วยความกลัวที่บังเกิด เธอรู้แล้วว่าดอกกุหลาบหมายถึงอะไร เธอไม่ได้อยู่คนเดียว เธอต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้ เสียเวลาไม่ได้แล้ว

แต่ขณะที่กำลังหันหลังวิ่งไปที่ประตู มืออันแข็งแรงคว้าแขนเธอไว้จากด้านหลัง ทำให้เธอไปไหนไม่ได้ ไม่มีเวลาคิดแล้ว ต้องปล่อยให้ร่างกายตอบโต้ด้วยตัวมันเอง

เธอยกศอกขึ้นแล้วหมุนตัวไปด้านหลัง ถ่วงน้ำหนักทั้งหมดไปทางด้านข้างและด้านหลัง รู้สึกได้ว่าศอกไปกระแทกกับพื้นผิวแข็งๆแต่นุ่มหยุ่น พร้อมกับได้ยินเสียงโอดครวญออกมาอย่างดังและดุร้าย ขณะเดียวกับที่น้ำหนักของคนที่โจมตีเธอเทลงมาด้านหน้าลงบนตัวเธอ

เธอจะโชคดีซัดไปโดนลิ้นปี่ของมันรึเปล่า? เธอหันไปดูไม่ได้ มันไม่มีเวลาให้ทำเช่นนั้น – ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียว

เธอวิ่งไปที่ประตู แต่เหมือนเวลาเดินช้าลง รู้สึกเหมือนไม่ได้วิ่งเลย กลับเหมือนการเคลื่อนตัวผ่านวุ้นเจลาตินสีใสก้อนหนาเสียมากกว่า

เธอมาถึงประตูในที่สุดและพยายามจะกระชากเปิด แต่แน่นอนมันจะเปิดได้อย่างไรในเมื่อเธอล็อคมันไปแล้วตอนเดินเข้ามาเมื่อกี๊นี้

เธอควานมือลงไปในกระเป๋าอย่างรีบเร่งจนกระทั่งเจอกุญแจ แต่แล้วมือเธอกลับสั่นมากจนถือกุญแจไว้ไม่อยู่ ร่วงเสียงดังลงบนพื้น เวลาเดินช้ามากขึ้นไปอีกขณะที่เธอก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา เธอเกลี่ยกุญแจไปมาจนกระทั่งเจอดอกที่ใช่ แล้วจึงเสียบมันลงไปในแม่กุญแจ

มันไร้ประโยชน์สิ้นดี มือของเธอมันสั่นจนทำอะไรไม่ได้ เธอรู้สึกเหมือนโดนทรยศจากร่างกายของตัวเอง

และแล้วตาเธอก็สะดุดกับภาพความเคลื่อนไหวลางๆด้านนอก บนทางเดินเท้าถัดจากลานจอดรถ มีหญิงคนหนึ่งกำลังพาสุนัขมาเดินเล่น มือยังจับที่กุญแจแน่น เธอยกกำปั้นขึ้นและทุบไปที่กระจกแก้วอย่างหนาบานนั้น อ้าปากกรีดร้องขอความช่วยเหลือ

แต่เสียงของเธอก็โดนอุดด้วยอะไรบางอย่าง อุดแน่นอยู่รอบปาก ทำให้มุมปากถูกดึงอย่างเจ็บปวดอยู่ด้านข้าง มันเป็นผ้า – ผ้าขี้ริ้ว หรือ ผ้าเช็ดหน้า หรือ ผ้าพันคอ คนร้ายยัดผ้าลงปากเธอด้วยความรุนแรงไร้ความปรานีจนจะทำให้เธออาเจียน ตาเธอปูดโปนออกมา แต่แทนที่จะกรีดร้องให้คนช่วย เธอทำได้เพียงแค่ปล่อยเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด

เธอดิ้นก่ายมือไปมาจนกุญแจหล่นจากมืออีกครั้ง พร้อมกับที่โดนลากอย่างไร้แรงต่อต้านเข้าไปทางด้านหลัง ค่อยๆหายออกไปจากแสงสว่างยามเช้า หายเข้าไปในความมืด ในความมืดมนจากความสั่นสะพรึงที่ไม่คาดคิดและเกินกว่าจินตนาการใดๆ

บทที่ 16

“คุณรู้สึกว่ามันแปลกถิ่นมั้ย?” บิลถาม

“รู้สึก” ไรล์ลี่ตอบ “แล้วฉันว่าคนอื่นก็มองเราสองคนออกเหมือนกัน”

ทั้งตุ๊กตาและผู้คนที่ดูจะปนเปกันอย่างมั่วๆถูกจัดให้นั่งอยู่ในเครื่องตกแต่งเบาะหนังหุ้มของล็อบบี้โรงแรมอันโอ่โถง ผู้คน – ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง แต่ก็มีผู้ชายบ้างประปราย – กำลังนั่งดื่มชากาแฟและสนทนากันอยู่ ตุ๊กตามากมายหลายชนิด ทั้งแบบหญิงและชาย นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยราวกับเป็นเด็กน้อยมารยาทงาม ไรล์ลี่ว่ามันเหมือนการรวมญาติแบบพิลึกกึกกือที่ลูกๆทุกคนเป็นของปลอม

ไรล์ลี่อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ภาพพิสดารนั้น เมื่อไม่มีหลักฐานชี้นำให้ตามแล้ว เธอกับบิลจึงตัดสินใจมาที่นี่ มาที่งานแสดงตุ๊กตา หวังว่าอาจจะเจอหลักฐานนำทางอะไรบ้าง แม้ว่าจะดูเป็นไปได้ยากแค่ไหนก็ตาม

“คุณสองคนลงทะเบียนแล้วรึยังครับ?” เขาถาม

ไรล์ลี่หันหน้าไปเจอกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังมองเสื้อแจ็คเก็ตของบิลอยู่ ก็ไม่น่าแปลกใจอะไรที่จะเห็นอาวุธที่กำบังไว้อยู่ภายในเสื้อ เจ้าหน้าที่วางมือไว้ใกล้กับปลอกกระบอกปืนของเขา

เธอว่าในสถานที่ที่คนยั้วเยี้ยแบบนี้ เจ้าหน้าที่ก็มีเหตุผลที่จะกังวล หากเกิดมีคนบ้ากราดยิงขึ้นมา สามารถทำให้คนแตกตื่นได้เลยในสถานที่แบบนี้

บิลหยิบตราประจำตัวขึ้นมาแสดง “เอฟบีไอ” เขากล่าว

เจ้าหน้าที่หัวเราะเล็กน้อย

“ไม่แปลกใจเท่าไหร่” เขาบอก

“ทำไมล่ะ?” ไรล์ลี่ถาม

เจ้าหน้าที่ส่ายหัว

“เพราะว่าผมเจอกลุ่มคนที่แปลกที่สุดที่เคยเจอมารวมอยู่ในที่เดียว”

“อืม” บิลเห็นด้วย “แล้วก็ไม่ใช่จะเป็นมนุษย์ทุกคนด้วยนะ”

เจ้าหน้าที่ยักไหล่ก่อนตอบ “คุณพนันได้เลยว่าต้องมี ใครซักคน ในนี้ที่เคยทำอะไรผิดมา”

เขาผงกหัวไปด้านหนึ่งและอีกด้านหนึ่ง สอดส่องบริเวณห้อง

“ผมจะดีใจมากเมื่องานนี้จบลง” แล้วเขาก็เดินจ้ำอาดๆจากไป ท่าทางระแวดระวังและตื่นตัว

ไรล์ลี่เดินทอดน่องกับบิลเข้าไปในฮอลล์ที่เชื่อมต่อกัน เธอไม่ค่อยแน่ใจว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกังวลอะไร ให้พูดตรงๆคือ ผู้ที่มางานแต่ละคนดูพิลึกพิลั่นมากกว่าจะมีประสงค์ร้าย เหล่าผู้หญิงที่เห็นก็อายุไล่ไปตั้งแต่เด็กยันคนมีอายุ บางคนก็ดูนิ่งขรึมและเข้มงวด บางคนก็ดูเปิดเผยและมนุษยสัมพันธ์ดี

“บอกผมอีกทีได้มั้ยว่าคุณมาที่นี่หวังว่าจะเจออะไร” บิลถามเบาๆ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไรล์ลี่สารภาพ

“บางทีคุณอาจจะให้ความสำคัญกับเรื่องตุ๊กตานั่นมากไป” เขาพูด เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจที่ต้องอยู่ที่นี่ “แบล็คเวลดูจิตๆกับตุ๊กตาก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่พวกวิตถาร แล้วเมื่อวานเราก็ได้รู้แล้วว่าเหยื่อรายแรกไม่ได้ชอบตุ๊กตาด้วยซ้ำ”

ไรล์ลี่ไม่ตอบ บิลอาจจะถูกก็ได้ แต่พอเขาเอาโบรชัวร์ของงานแสดงนี้มาให้เธอดู ก็ไม่รู้ทำไมเธอถึงต้องมาอย่างช่วยไม่ได้ เธออยากจะลองดูอีกสักตั้ง

เหล่าผู้ชายที่ไรล์ลี่เห็นดูเหมือนพวกหนอนหนังสือหรือไม่ก็พวกศาสตราจารย์ ส่วนใหญ่จะสวมแว่น และมีอีกหลายคนทีเดียวที่ไว้เคราแพะ ไม่มีใครที่ดูแล้วสามารถเป็นฆาตกรได้เลย เธอเดินผ่านหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ กำลังโยกตุ๊กตาเด็กไปมาในอ้อมแขนและร้องเพลงกล่อม ถัดไปอีกฟากนู้น หญิงชรากำลังคุยกับตุ๊กตาลิงตัวเท่าคนอย่างออกรสชาติ

โอเค ไรล์ลี่นึกในใจ มันมีอะไรประหลาดๆนิดหน่อยนะที่นี่

บิลดึงโบรชัวร์ออกจากกระเป๋าเสื้อและพลิกดูขณะที่กำลังเดินไปด้วย

“มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นบ้างรึยัง?” ไรล์ลี่ถามเขา

“ก็มีช่วงพูดคุย เล็คเชอร์ให้ความรู้ แล้วก็เวิร์คช็อป – ประมาณนั้น บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่บางเจ้าก็อยู่ที่นี่เพื่อมาอัพเดท

เทรนด์และความคลั่งไคล้ใหม่ๆให้บรรดาเจ้าของร้านฟัง แล้วก็มีบางคนที่เหมือนจะเป็นที่รู้จักในแวดวงตุ๊กตา พวกเขามีให้คำแนะนำและพูดคุยอะไรประมาณนี้”

แล้วบิลก็หัวเราะออกมา

“เฮ้ ดูนี่ มีเล็คเชอร์หัวข้อเด่นเด้งออกมาด้วยนะ”

“หัวข้ออะไร?”

“การสรรสร้างสังคมทางเพศสมัยวิคตอเรียในยุคของตุ๊กตาพอร์ซเลน’ อีกไม่กี่นาทีจะเริ่มแล้ว อยากไปดูหน่อยมั้ย”

ไรล์ลี่หัวเราะเช่นกัน “ฉันว่าเราคงจะฟังไม่รู้เรื่องซักคำ มีอย่างอื่นอีกมั้ย”

บิลส่ายหัว “ก็ไม่เชิงไม่มี ไม่มีอะไรจะช่วยทำให้เข้าใจจุดประสงค์ของฆาตกรโหดเหี้ยมทารุณได้อยู่แล้ว”

บิลกับไรล์ลี่เดินย้ายมาในห้องใหญ่ที่เปิดอยู่ถัดไป บู๊ทส์สินค้าและโต๊ะเรียงรายมากมายเหมือนเขาวงกตขนาดมหึมา ตุ๊กตาและหุ่นเชิดสารพัดแบบที่หาได้ในโลกจัดแสดงโชว์อยู่ มีตั้งแต่ตัวจิ๋วเท่านิ้วก้อยไปยันขนาดเท่าคน จากของเก่าโบราณไปยันของใหม่แกะกล่องเพิ่งออกมาจากโรงงาน บางชนิดก็เดินได้ บางชนิดก็พูดได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นแบบห้อย นั่ง หรือยืน อยู่ตรงนั้น จ้องกลับมาที่ผู้เข้าชมที่ออกันอยู่เป็นกลุ่มหน้าตุ๊กตาแต่ละตัว

เป็นครั้งแรกที่ไรล์ลี่เห็นเด็กจริงๆอยู่ในงาน – ไม่มีเด็กผู้ชาย มีแต่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ส่วนใหญ่ยังต้องอยู่ในความดูแลใกล้ชิดของผู้ปกครอง แต่ก็มีบางรายที่หลุดรอดสายตาผู้ปกครองไปกับกลุ่มเด็กซน สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมาก

ไรล์ลี่หยิบกล้องจิ๋วขึ้นมาจากโต๊ะ จากป้ายที่ติดไว้อ้างว่ามันใช้ได้จริง บนโต๊ะเดียวกันมีหนังสือพิมพ์จิ๋ว, ตุ๊กตาของเล่น, กระเป๋าถือ, กระเป๋าสตางค์, และเป้สะพาย บนโต๊ะถัดไปมีอ่างอาบน้ำสำหรับตุ๊กตาและอุปกรณ์ภายในห้องน้ำต่างๆ

ในโซนของเสื้อทีเชิร์ตมีบริการสกรีนเสื้อสำหรับตุ๊กตาและสำหรับลูกค้าที่เป็นคนจริงๆ แต่ร้านทำผมนั้นสำหรับตุ๊กตาเท่านั้น ภาพ

วิกผมอันเล็กหลายอันที่ถูกจัดทรงไว้อย่างเรียบร้อยทำให้ไรล์ลี่นั้นเย็นวาบ ทางเอฟบีไอได้ตรวจสอบพบบริษัทผู้ผลิตวิกผมจากจุดฆาตกรรมแล้ว ยังรู้แล้วว่ามันมีวางขายอยู่ตามร้านทั่วทุกมุมนับไม่ถ้วน มาได้เห็นมันถูกวางเรียงรายแบบนี้ทำให้นึกไปถึงภาพที่ไรล์ลี่เห็นมาที่คนอื่นในที่นี้ไม่ได้เห็น ภาพของศพหญิงสาว สภาพเปลือยเปล่า นั่งแยกขาออกเหมือนตุ๊กตา สวมวิกผมขนาดไม่พอดีหัวที่ทำมาจากผมตุ๊กตา

เธอมั่นใจว่าภาพพวกนี้คงไม่มีวันจางหายไปจากความจำของเธอแน่ หญิงสาวเหล่านั้นถูกกระทำอย่างไร้ความปราณี แต่ยังอุตส่าห์ถูกจัดวางท่าทางศพไว้เพื่อสื่อถึง….บางอย่างที่เธอก็ยังตอบไม่ได้ แต่ก็แน่ละ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอกับบิลถึงมาอยู่ที่นี่

เธอก้าวไปด้านหน้าและพูดกับหญิงสาววัยรุ่นสดใสมีชีวิตชีวาที่ดูเหมือนจะเป็นคนจัดการร้านทำผมตุ๊กตา

“คุณขายวิกผมพวกนี้ที่นี่รึเปล่าคะ?” ไรล์ลี่ถาม

“แน่นอนค่ะ” หญิงสาวตอบ “อันนั้นเอาไว้สำหรับจัดแสดง แต่ฉันมีอันใหม่อยู่ในกล่อง คุณชอบอันไหนคะ”

ไรล์ลี่ไม่รู้จะตอบว่าอะไรต่อไป “คุณจัดแต่งทรงผมให้วิกผมอันเล็กพวกนี้ด้วยเหรอคะ” เธอถามในที่สุด

“เราสามารถเปลี่ยนทรงให้ได้ค่ะ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมนิดหน่อยเท่านั้น”

“คนประเภทไหนที่มาซื้อคะ” ไรล์ลี่ถาม เธออยากถามว่ามีผู้ชายที่ดูแปลกๆมาซื้อวิกผมตุ๊กตาบ้างหรือเปล่า

หญิงสาวมองหน้าเธอตาโต “ฉันไม่แน่ใจว่าคุณหมายความว่าอะไร” เธอพูด “คนหลากหลายประเภทซื้อมันค่ะ บางครั้งพวกเขาก็เอาตุ๊กตาที่มีอยู่แล้วมาเปลี่ยนทรงผม”

“ฉันหมายความว่า มีผู้ชายมาซื้อบ่อยมั้ยคะ?” ไรลลี่ถาม

หญิงสาวดูจะอึดอัดอย่างเห็นได้ชัดแล้วตอนนี้ “เท่าที่จำได้ก็ไม่ค่ะ” เธอกล่าว หลังจากนั้นก็หันไปคุยกับลูกค้าคนอื่นซะเฉยๆ

ไรล์ลี่ยืนต่ออีกเดี๋ยวหนึ่ง รู้สึกเหมือนพวกปัญญาอ่อนที่เปิดประเด็นถามคนด้วยคำถามแบบนี้ ราวกับว่าเธอยื่นโลกอันมืดมนของเธอไปใส่หน้าอีกคนที่น่าจะมีโลกสดใสและเรียบง่าย

บิลแตะแขนเธอแล้วพูดว่า “ผมว่าคุณไม่เจอไอ้วิตถารที่นี่หรอก”

ไรล์ลี่รู้สึกหน้าร้อนผ่าว แต่ขณะที่เธอหันออกจากร้านทำผมตุ๊กตา เธอตระหนักว่าเธอไม่ได้เป็นผู้หญิงพิลึกคนเดียวที่ผู้จัดแสดงสินค้าต้องหาวิธีจัดการ เธอเกือบจะเดินชนผู้หญิงคนหนึ่งที่มือกำตุ๊กตาตัวใหม่ที่เพิ่งซื้อไว้แน่น หน้าก็ร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติ อีกโต๊ะหนึ่ง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังตะโกนสาดน้ำลายกันว่าใครจะเป็นคนได้ซื้อของสะสมหายากบางอย่าง พวกเขาแทบจะเหมือนเล่นชักเย่อ ขู่จะฉีกสินค้าออกเป็นเสี่ยงๆ

“ตอนนี้ฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงกังวลนัก” เธอบอกกับบิล

เธอเห็นว่าบิลกำลังมองใครบางคนในบริเวณละแวกนี้อย่างเอาจริงเอาจัง

 

“มีอะไรรึเปล่า?” เธอถามเขา

“ดูผู้ชายคนนั้นสิ” บิลบอก พยักเพยิดไปที่ชายผู้หนึ่ง กำลังยืนอยู่ใกล้ตุ๊กตาตัวใหญ่ในชุดเดรสมีระบายรอบๆที่จัดแสดงอยู่ เขาอายุราวสามสิบกลางๆและหน้าตาหล่อเหลา แตกต่างจากผู้ชายคนอื่นในที่นี้ เขาไม่ได้ดูเหมือนหนอนหนังสือหรือเหมือนอาจารย์ แต่ภายนอกเขากลับเหมือนนักธุรกิจหนุ่มผู้รุ่งเรืองและมั่นใจ แต่งตัวถูกกาลเทศะในชุดสูทราคาแพงและเนคไท

“เขาดูแปลกที่พอกับเราเลย” บิลกระซิบ “ทำไมผู้ชายหน้าตาท่าทางแบบนั้นถึงเล่นตุ๊กตาได้?”

“ฉันก็ไม่รู้” ไรล์ลี่ตอบ “แต่เขาก็ดูเหมือนพวกที่สามารถจะจ้างเพื่อนเล่นตอบโต้ได้หากเขาต้องการ” เธอมองดูหนุ่มนักธุรกิจซักแป๊บหนึ่ง เขาหยุดจ้องตุ๊กตาเด็กหญิงในชุดเดรสระบายรอบตัวที่จัดแสดงแล้ว เขากวาดตามองไปรอบๆ ราวกับให้แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังดูอยู่

บิลหันหลังให้ชายหนุ่มและเอนตัวมาข้างหน้าทำเหมือนว่ากำลังคุยกันอย่างออกรสกับไรล์ลี่ “เขากำลังทำอะไรอยู่?”

“กำลังดูสินค้า” เธอตอบ “ในอากัปกิริยาที่ฉันไม่ค่อยชอบใจ”

ชายผู้นั้นโน้มตัวลงไปหาตุ๊กตาตัวหนึ่งแล้วส่องมันอย่างใกล้จนแทบจะชิด – อาจจะใกล้มากเกินไป – แล้วริมฝีปากบางของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้ม และเขาก็หันไปมองซ้ายมองขวารอบห้องอีก

“หรือกำลังมองหาเหยื่อรายใหม่” เธอเสริม

ไรล์ลี่แน่ใจว่าเธอเห็นอาการลับๆล่อๆบางอย่างในอากัปกิริยาของชายคนนั้นตอนที่เขาเอานิ้วลูบไปที่ชุดของตุ๊กตา สำรวจเนื้อผ้าในอาการกึ่งๆมีอารมณ์ทางเพศ

บิลเหลือบมองชายผู้นั้นอีกครั้ง “พระเจ้า” เขาพึมพำเบาๆ “ไอ้หมอนั่นมันโรคจิตหรืออะไรเนี่ย”

ความเย็นยะเยือกแผ่ซ่านเข้าปกคลุมไรล์ลี่ ตามหลักเหตุผลแล้ว เธอรู้เป็นอย่างดีว่านี่คงไม่น่าใช่ฆาตกร เพราะอย่างไรซะ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะบังเอิญมาเจอเขาในที่สาธารณะเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ในเวลาอย่างนี้ ไรล์ลี่นั้นเชื่อว่าเธออยู่ในรัศมีของความชั่วร้าย

“อย่าให้เขาคลาดสายตา” ไรล์ลี่ย้ำ “ถ้าเขาแปลกหนักยิ่งกว่านี้ เราจะเข้าไปสอบปากคำเขาสักข้อสองข้อ”

แต่แล้ว ความเป็นจริงก็เป่าความคิดดำมืดนั้นปลิวหายไป เมื่อเด็กหญิงราวห้าขวบวิ่งร่าเข้าไปหาชายผู้นั้น

“คุณพ่อ” เด็กน้อยเรียกเขา

ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง หน้าเขาสว่างไสวไร้พิษภัยเต็มไปด้วยความรัก เขาเอาตุ๊กตาที่เจอขึ้นมาอวดลูกสาว และเด็กน้อยก็ทั้งหัวเราะและตบมือด้วยความดีใจ เขายื่นตุ๊กตาให้เธอและเด็กน้อยกอดมันไว้แน่น ผู้เป็นพ่อหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาและเตรียมตัวชำระเงิน

ไรล์ลี่ส่งเสียงคำรามออกมา

เซ้นท์ของฉันพลาดอีกแล้ว เธอคิด

เธอเห็นว่าบิลนั้นกำลังฟังใครพูดอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขา หน้าของเขาดูเครียดขึ้นเมื่อหันมาทางเธอ

“มันเล่นงานเหยื่ออีกรายแล้ว”