Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

บทที่ 10

สิ่งแรกที่เตะตาไรล์ลี่คือ ตุ๊กตาพลาสติก—ตุ๊กตาล่อนจ้อนแบบเดียวกับที่เจอวันนั้นที่ต้นไม้ใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ อยู่ในท่าแบบเดียวกันด้วย ในชั่วขณะหนึ่ง เธอผงะที่เห็นมันนั่งอยู่ในห้องแล็ปนิติเวชของเอฟบีไอ ล้อมรอบไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย เธอดูว่ามันอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อย – ประหนึ่งเทวรูปหลงยุค

มาถึงตอนนี้ตุ๊กตาก็กลายเป็นเพียงหลักฐานอีกหนึ่งชิ้น ถูกป้องกันไว้ในถุงพลาสติก เธอรู้มาว่าทีมถูกส่งออกไปเก็บหลักฐานทันทีที่เธอแจ้งเข้ามาจากที่เกิดเหตุ แต่ถึงอย่างนั้นภาพที่เห็นก็ยังทำให้สะดุ้งได้อยู่ดี

เจ้าหน้าที่พิเศษเมอเรดิธก้าวเข้ามาทักทายเธอ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าหน้าที่เพจ” เขากล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

“ดีใจที่ได้กลับมาค่ะท่าน” ไรล์ลี่กล่าว

เธอเดินข้ามไปที่โต๊ะเพื่อไปนั่งกับบิลและเจ้าหน้าที่แล็ปฟลอเรส ไม่ว่าเธอจะเคยไม่สบายใจหรือไม่แน่ใจเรื่องอะไรก็ตาม แต่มันเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆที่ได้พบกับเมอเรดิธอีกครั้ง เธอชอบสไตล์ความเข้มงวดจริงจังของเขา และเขาก็ปฏิบัติกับเธอด้วยความเคารพและใส่ใจเสมอมา

“ไปพบท่านวุฒิสมาชิกมาเป็นยังไงบ้าง” เมอเรดิธถามขึ้น

“ไม่ค่อยดีนักค่ะ” เธอตอบคำถาม

ไรล์ลี่เห็นหน้าผู้บังคับบัญชาของเธอกระตุกด้วยความหงุดหงิด

“คุณว่าเขาจะสร้างปัญหามาให้เรามั้ย”

“ดิฉันว่าเกือบจะแน่นอน ต้องขออภัยด้วยค่ะท่าน”

เมอเรดิธพยักหน้าอย่างเห็นใจ

“ผมรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของคุณ” เขาตอบ

ไรล์ลี่คิดว่าเขาคงพอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมาบ้าง พฤติกรรมของวุฒิสมาชิกนิวโบรนั้นไม่ต่างอะไรกับนักการเมืองทั่วไปที่ชอบถือเอาตนเป็นใหญ่ เมอเรดิธคงจะชินชาเสียแล้วกระมัง

ฟลอเรสดีดนิ้วใส่ระรัวบนแป้นพิมพ์ ระหว่างที่เขาพิมพ์อยู่นั้น ทั้งภาพสุดสยอง ทั้งรายงาน และหัวข้อข่าวต่างๆ ก็เลื่อนขึ้นมาปรากฎบนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่รอบห้อง

“เราลองสาวไส้ดูแล้ว ปรากฎว่าคุณพูดถูก เจ้าหน้าที่เพจ” ฟลอเรสบอก “ฆาตกรคนเดียวกันเคยก่อคดีมาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้าคดีที่เมืองแด็กเก็ตต์”

ไรล์ลี่ได้ยินเสียงบิลคำรามหึๆด้วยความพอใจอยู่ในลำคอ และในช่วงแป๊บหนึ่ง เธอรู้สึกเหมือนได้ความมั่นใจกลับคืนมาอีกครั้ง เริ่มเชื่อในการกลับมาของตัวเอง

แต่แล้วใจเธอก็ห่อเหี่ยวลงไปอีก หญิงสาวอีกคนต้องมาตายอย่างน่าอนาถ นั่นมันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเลย จริงๆแล้วเธอหวังให้ตัวเองนั้นคิดผิดด้วยซ้ำ

นานๆที ทำไมฉันถึงจะมีความสุขกับผลงานบ้างไม่ได้นะ? เธอถามตัวเองอย่างอยากรู้คำตอบ

แผนที่ผืนยักษ์ของรัฐเวอร์จิเนียถูกแผ่กางเต็มหน้าจอแบนของมอนิเตอร์ แล้วค่อยย่อให้แคบลงไปที่แถบเมืองในตอนเหนือของรัฐ ฟลอเรสปักหมุดไปที่มุมสูงของแผนที่ ใกล้กับชายแดนแมรี่แลนด์

“เหยื่อรายแรกชื่อ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ อายุ 36 ปี” ฟลอเรสสาธยาย “พบศพของเธอถูกทิ้งในฟาร์มแลนด์ ไกลจากเมืองเบลดิ้งออกไปประมาณสิบสามไมล์ เธอถูกฆาตกรรมเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน เกือบๆสองปีที่แล้ว เอฟบีไอไม่ได้ถูกเรียกให้ทำคดีนั้น ตำรวจท้องที่ปล่อยมันไว้จนกลายเป็นคดีแช่แข็ง”

ไรล์ลี่เพ่งดูภาพถ่ายจุดเกิดเหตุที่ฟลอเรสดึงขึ้นมาไว้อีกหน้าจอมอนิเตอร์หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าฆาตกรไม่ได้พยายามจะจัดท่าทางของศพ มันแค่รีบทิ้งศพและหนีไปอย่างรวดเร็ว

“สองปีก่อน” เธอพึมพำกับตัวเอง คิดตามพร้อมเก็บข้อมูล ใจหนึ่งเธอก็แปลกใจที่มันก่อเหตุมาแล้วตั้งนาน แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้ว่าพวกฆาตกรโรคจิตมันสามารถก่อคดีต่อเนื่องได้นานเป็นปี พวกมันอาจจะมีความอดทนที่เหมือนกัน

เธอตรวจดูรูปถ่ายต่างๆ

“ดูแล้วมันยังไม่น่าจะมีสไตล์การลงมือเป็นของตัวเอง” เธอจับสังเกต

“ใช่” ฟลอเรสเห็นด้วย “มีวิกผมอยู่ตรงนั้น โดนหั่นซะสั้นจู๋ แต่มันก็ไม่ได้ทิ้งดอกกุหลาบเอาไว้ แต่ไม่ว่ายังไง เหยื่อก็โดนรัดคอด้วยริบบิ้นสีชมพูเหมือนๆกัน”

“มันเหมือนรีบเร่งจัดฉาก” ไรล์ลี่เสริม “มันปล่อยให้อารมณ์แตกกระเจิง คิดว่าน่าจะเพราะเป็นการลงมือครั้งแรก เลยทำให้ขาดความมั่นใจ แล้วก็พัฒนาขึ้นมาในคดีของ เอลีน โรเจอร์ส แต่มาจับจุดได้เต็มๆที่การลงมือกับ รีบ้า ฟราย

จู่ๆเธอก็นึกคำถามที่เธออยากถามขึ้นมาได้

“คุณพบอะไรที่เป็นความเกี่ยวพันกันระหว่างเหยื่อ หรือระหว่างลูกของเหยื่อทั้งสองบ้างมั้ย”

“ไม่มีเลย” ฟลอเรสบอก “เช็คไปที่กลุ่มสมาคมผู้ปกครองแล้วแต่ไม่เจออะไร ไม่มีใครที่ดูเหมือนจะรู้จักกัน”

นั่นทำให้ไรล์ลี่หมดกำลังใจไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอแปลกใจนัก

“แล้วเกี่ยวกับเหยื่อรายแรกล่ะ” ไรล์ลี่ถาม “ฉันเดาว่าเธอก็เป็นแม่คนเหมือนกันใช่มั้ย”

“ก็ไม่นะ” ฟลอเรสตอบกลับอย่างเร็วราวกับว่ากำลังรอคำถามนี้อยู่ “เธอแต่งงานแล้ว แต่ไม่มีลูก”

ไรล์ลี่ชะงัก เธอ มั่นใจ ว่าฆาตกรมันพุ่งเป้าไปที่คนเป็นแม่เท่านั้น เธอจะคาดการณ์ผิดได้ยังไง?

ความมั่นใจที่เพิ่งพุ่งกลับมาเต็มที่อยู่ดีๆก็เหมือนโดนเจาะยางแบนลงไปซะอย่างนั้น

ขณะที่ไรล์ลี่กำลังลังเลนั้น บิลถามขึ้นมาว่า “ถ้างั้น เราใกล้จะระบุตัวคนร้ายได้รึยัง คุณได้ข้อมูลอะไรจากหนามเล็กๆจากเมืองโมวส์บี้พวกนั้นบ้างรึเปล่า”

“โชคไม่ช่วย” ฟลอเรสตอบ “เราเจอร่องรอยของหนังแทนที่จะเจอเลือด ฆาตกรใส่ถุงมือ ดูมันเป็นคนค่อนข้างพิถีพิถัน ขนาดในสถานที่เกิดเหตุจุดแรก มันยังไม่ทิ้งรอยเท้าหรือดีเอ็นเออะไรไว้เลย”

ไรล์ลี่ถอนใจ เธออุตส่าห์คาดหวังไว้ว่าเธอคงได้ค้นพบสิ่งที่คนอื่นนั้นมองข้าม แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเธอพลาดเป้า พวกเราต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่จากศูนย์

“พวกหมกมุ่นกับรายละเอียด” เธอคอมเม้นท์

แต่ถึงยังไง ผมก็ว่าเราไล่มันมาติดๆแล้วล่ะ” ฟลอเรสเสริม

เขาใช้แท่งเลเซอร์ชี้ไปที่โลเคชั่น ทำท่าขีดเส้นย้ำไว้ระหว่างกัน

“ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่ามีอีกคดีหนึ่งก่อนหน้า เราก็พอจะเรียงลำดับและพอเดาพื้นที่ของมันได้บ้าง” ฟลอเรสกล่าว “เรามีเหยื่อรายที่หนึ่ง มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ที่เบลดิ้ง ด้านเหนือ ตรงนี้, รายที่สอง เอลีน โรเจอร์ส ข้ามมาทางฝั่งตะวันตกที่โมวส์บี้พาร์ค, และรายที่สาม รีบ้า ฟราย ใกล้เมืองแด็กเก็ตต์ ไกลออกไปทางใต้”

ขณะที่เธอมองภาพตาม ก็สังเกตเห็นว่าโลเคชั่นทั้งสามที่นั้นโยงถึงกันได้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนแผนที่

“เรากำลังเจาะพื้นที่ที่มีอาณาเขตประมาณสามพันตารางไมล์” ฟลอเรสอธิบาย “แต่มันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดนะ เราคุยกันส่วนมากเป็นพื้นที่แถบชนบทที่มีเมืองเล็กๆอยู่ไม่กี่เมือง ในตอนเหนือคุณก็จะเจออสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆอย่างเช่น คฤหาสน์ของวุฒิสมาชิก ที่ดินเปล่ามากมาย”

ไรล์ลี่เห็นความพึงพอใจในอาชีพแปะหราอยู่บนหน้าของฟลอเรส เห็นได้ชัดว่าเขารักงานของเขาแค่ไหน

“ที่ผมจะทำต่อไปก็คือ ผมจะดึงข้อมูลทะเบียนประวัติของผู้กระทำผิดล่วงละเมิดทางเพศที่อยู่ในพื้นที่นี้ออกมา” ฟลอเรสว่าต่อ พร้อมพิมพ์ส่งคำสั่ง และแล้วรูปสามเหลี่ยมบนแผนที่นั้นก็เต็มไปด้วยจุดปักหมุดสีแดงเรียงกันเป็นโหลๆ

“ตอนนี้ก็มาตัดพวกรักร่วมเพศออก” เขาบอก “เราแน่ใจแล้วว่าฆาตกรของเราไม่ได้เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน”

ฟลอเรสพิมพ์ส่งคำสั่งอีกครั้ง พร้อมกับที่ประมาณครึ่งหนึ่งของจุดปักหมุดนั้นหายวับไป

“ทีนี้ก็มาย่อลงให้เหลือแต่พวกคดีที่ใช้ความรุนแรง – พวกนักโทษที่เคยติดคุกข้อหาข่มขืน หรือฆาตกรรม หรือทั้งสองอย่าง”

“ไม่ใช่” ไรล์ลี่แทรกขึ้นมา “ผิดแล้ว”

ชายหนุ่มทั้งสามจ้องมาที่เธอด้วยความประหลาดใจ

“เราไม่ได้กำลังมองหาอาชญากรที่ใช้ความรุนแรง” เธออธิบาย

ฟลอเรสไม่ค่อยพอใจ

“ทำอย่างกับเราไม่ได้กำลังตามหาอยู่!” เขาค้าน

ห้องตกอยู่ในความเงียบ ไรล์ลี่เริ่มมองเห็นเค้าโครงเรื่องรางๆ แต่ในสมองก็ยังบอกอะไรได้ไม่ชัดเจน เธอจ้องนิ่งไปที่ตุ๊กตาที่ยังนั่งน่าขนลุกอยู่บนโต๊ะ ดูอยู่ผิดที่ผิดทางเหมือนเคย

ถ้าแกพูดได้ก็ดีสิ เธอคิดในใจขณะที่ยังคงจ้องมองมันอยู่นิ่งๆ

หลังจากนั้นเธอจึงเริ่มอธิบายความคิดในหัวของเธอ

“ฉันหมายถึง ไม่ใช่ความรุนแรงที่เห็นเด่นชัด มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ไม่ได้โดนข่มเหงทางเพศ ซึ่งอย่างที่เราก็เห็นๆกันอยู่ว่า โรเจอร์สและฟราย ก็ไม่ได้ถูกบังคับขืนใจเช่นกัน

“พวกเขาโดนทรมานและโดนสังหาร” ฟลอเรสบ่นอย่างไม่พอใจ

ความตึงเครียดแผ่คลุมไปทั่วห้อง เบรนท์ เมอเรดิธนั่งหน้าเครียด ขณะที่บิลก็จ้องไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ตาไม่กระพริบ

ไรล์ลี่ชี้ไปที่ภาพถ่ายระยะใกล้ของศพที่ดูพิกลพิการน่าเกลียดของมาร์กาเร็ต เจอราตี้

“การสังหารครั้งแรกสุดของฆาตกรคือครั้งที่มีการใช้กำลังรุนแรงที่สุด” เธออธิบาย “แผลพวกนี้ทั้งลึกและน่าสยดสยอง – สภาพเลวร้ายกว่าเหยื่อรายถัดมาอีกสองคนมาก ฉันพนันได้เลยว่าทีมชันสูตรของคุณคงแทงเรื่องออกมาแล้วว่าฆาตกรสร้างบาดแผลพวกนี้ด้วยความรวดเร็ว แทงไม่ยั้งแผลต่อแผลเลย”

ฟลอเรสพยักหน้ารับด้วยความทึ่ง

“ใช่ คุณคาดการณ์ได้ถูกต้อง”

เมอเรดิธมองไรล์ลี่ด้วยความสงสัยอยากรู้

“แล้วนั่นมันบอกอะไรกับคุณ?” เขาถาม

ไรล์ลี่สูดหายใจลึก พาตัวเองเข้าไปสู่ห้วงมโนของฆาตกรอีกครั้ง

“ฉันค่อนข้างแน่ใจอยู่บางอย่าง” เธอบอกออกมา “เขาต้องไม่เคยมีสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์หน้าไหนเลยในชีวิต น่าจะไม่เคยแม้กระทั่งออกเดท เป็นพวกนางอายอยู่แต่ในบ้านและเป็นคนที่ไม่มีเสน่ห์น่าสนใจ โดนปฏิเสธจากเพศตรงข้ามอยู่เสมอ”

ไรล์ลี่หยุดไปอึดใจหนึ่ง รวบรวมความคิด

“แล้วในที่สุดวันหนึ่งเค้าก็สติแตก” เธอว่าต่อ “เขาลักพาตัวมาร์กาเร็ต เจอราตี้ มัดเธอไว้ เปลื้องเสื้อผ้าของเธอ และพยายามข่มขืนกระทำชำเรา”

ฟรอเรสอ้าปากเหวอด้วยคิดตามอย่างเห็นภาพ

“แต่เขาก็ทำไม่ได้!” ฟลอเรสเสริมให้

“ใช่ เขาไร้ซึ่งสมรรถภาพทางเพศ” ไรล์ลี่พูดต่อไป “แล้วเมื่อเขาไม่สามารถจะข่มเหงเธอได้ มันก็เปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด เขาเริ่มจะใช้มีดแทงใส่เธอ – ซึ่งใกล้เคียงการกระทำชำเราทางเพศมากที่สุดที่เขาสามารถทำได้ มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาใช้ความรุนแรง ฉันเดาว่าฆาตกรคงไม่ได้สนใจจะเก็บเธอไว้นาน”

ฟลอเรสชี้ไปที่ย่อหน้าหนึ่งในรายงานบันทึกคดี

“เซ้นท์ของคุณไม่พลาด” เขาบอก “ศพของเจอราตี้ถูกพบแค่เพียงไม่กี่วันหลังจากที่เธอหายตัวไป”

ไรล์ลี่รู้สึกหวั่นกับคำพูดของเธอเอง

“มันชักจะติดใจแล้วซะด้วย” เธอเดาใจ “มันสะใจที่เห็นความกลัวและความเจ็บปวดของเจอราตี้ มันพอใจทุกรอยบาดแผลที่เธอถูกแทง จึงกลายเป็นพิธีปฏิบัติของมันตั้งแต่นั้นมา แล้วมันก็เรียนรู้ที่จะไม่รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป ละเลียดความหอมหวานของทุกนาที กับเหยื่อชื่อ รีบ้า ฟราย นั้น การคุกคามและการทรมานนั้นลากยาวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์”

ในห้องตอนนี้สงบเงียบปราศจากเสียงใดๆ

“แล้วตุ๊กตามาเกี่ยวพันกันยังไง” เมอเรดิธทำลายความเงียบขึ้นมา “ทำไมคุณถึงแน่ใจนักว่ามันต้องการสื่อถึงตุ๊กตา”

“สภาพศพมันดูเหมือนตุ๊กตาเป็นอย่างมาก” บิลพูดแทน “อย่างน้อยก็สองรายล่าสุด ไรล์ลี่คิดไม่ผิดหรอก”

“มันมีความเกี่ยวพันกับพวกตุ๊กตา” ไรล์ลี่ตอบเงียบๆ “เพียงแต่ฉันยังไม่แน่ใจว่าทำไม เรื่องนี้มันน่าจะมีปมเกี่ยวกับการแก้แค้นอะไรซักอย่าง”

ฟลอเรสถามขึ้นในที่สุด “แล้วตกลงคุณคิดว่าฆาตกรที่เราตามหาจะอยู่ในบรรดานักโทษที่มีประวัติกระทำความผิดมั้ย?”

“อาจเป็นได้” ไรล์ลี่ตอบ “แต่ไม่ใช่นักโทษคดีข่มขืน และไม่ใช่พวกชอบใช้ความรุนแรง น่าจะเป็นคนที่ออกจะดูไร้พิษภัย ดูไม่ค่อยมีพิษสงอะไรซะมากกว่า – ประมาณพวกถ้ำมองน่ะ หรือไม่ก็พวกวิตถารชอบเปิดของโชว์ ไม่ก็พวกที่ชอบสำเร็จความใคร่ในที่สาธารณะซะมากกว่า”

 

ฟลอเรสพิมพ์ตามที่เธอพูดอย่างเร็วรัว

“โอเค” เขาเอ่ยขึ้น “ผมจะตัดพวกผู้กระทำผิดในข้อหาใช้ความรุนแรงออก”

จำนวนของจุดปักหมุดสีแดงบนแผนที่ลดน้อยลงจนเหลือเพียงหยิบมือหนึ่ง

“ตกลงตอนนี้เราเหลือพวกไหนบ้าง” ไรล์ลี่ยิงคำถามไปที่ฟลอเรส

ฟลอเรสกวาดตามองทะเบียนบันทึกและอ้าปากหวอ

“ผมว่าผมเจอตัวมันแล้ว” ฟลอเรสโพล่งออกมา “ผมว่าผมเจอไอ้คนที่คุณว่าแล้ว ชื่อของเขาคือ รอส แบล็คเวล แล้วดูนี่ เขาเคยทำงานอยู่ในร้านขายของเล่นเมื่อตอนที่ถูกจับได้ว่าเอาตุ๊กตามาจัดวางท่าลามกอนาจาร ประมาณเสมือนหนึ่งว่าพวกตุ๊กตากำลังร่วมเพศในท่าพิศดารวิตถารต่างๆ เจ้าของร้านจับส่งตำรวจ แบล็คเวลเลยโดนแค่ภาคฑัณท์ แต่เจ้าหน้าที่ก็คอยจับตาดูหมอนี่อยู่ตั้งแต่นั้น”

เมอเรดิธเอามือลูบคางอย่างใช้ความคิด “ก็อาจเป็นฆาตกรที่เรากำลังตามหา” เขากล่าว

“ให้ผมกับเจ้าหน้าที่เพจไปเอาตัวมาตอนนี้เลยมั้ยครับ” บิลถามขึ้น

“เรามีหลักฐานไม่พอจะนำตัวเขามาสอบสวน” เมอเรดิธตอบ “หรือแม้แต่ข้อหาที่จะไปขอหมายค้นก็ไม่มี เราไม่ควรที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น เพราะถ้ามันเป็นคนที่เราคิดไว้และฉลาดอย่างที่เราคิดไว้จริงๆ มันต้องหาทางหลุดรอดมือเราไปได้แน่ พรุ่งนี้คุณไปเยี่ยมเขาหน่อย ลองไปฟังสิว่าเขามีอะไรจะพูดบ้าง ดูแลเขาดีๆล่ะ”

บทที่ 11

เมื่อไรล์ลี่กลับถึงบ้านเข้าไปในเมืองเฟร็ดดริกส์เบิร์ก ท้องฟ้าก็ค่ำมืดแล้ว หากเดาไม่ผิดเธอคิดว่าคืนนี้อะไรมันคงจะแย่ลง

กว่านี้แน่ เธอกระตุกกับความรู้สึกเดจาวูขณะที่เธอขับรถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ในละแวกบ้านหรูในแถบชานเมือง ครั้งหนึ่งเธอเคยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับไรอันและลูกสาวของพวกเขา มีความทรงจำมากมายที่นี่ หลายอย่างนั้นเป็นความทรงจำที่ดี หากแต่หลายอย่างก็เป็นความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีนัก และบางอย่างก็เรียกว่าแย่เลยทีเดียว

ขณะที่เธอกำลังจะออกจากรถเพื่อเดินไปที่ตัวบ้าน ประตูหน้าก็เปิดออก เอพริลเดินออกมาและไรอันก็ยืนเห็นเป็นเงาอยู่ภายใต้แสงที่สาดมาจากทางเดิน เขาโบกมือให้เอพริลที่กำลังเดินจากมาและเดินถอยหลังกลับเข้าไปในตัวบ้านพร้อมปิดประตู

สำหรับเธอแล้วดูเหมือนเขาจะปิดประตูลงแรงไปเสียหน่อย แต่เธอก็รู้ดีว่าคงเป็นเพราะเธอคิดไปเอง ประตูบานนั้นถูกปิดตายลงมาซักพักแล้ว และชีวิตแบบเก่านั้นก็จบลงไปแล้วเช่นกัน หากแต่ในความเป็นจริงนั้นคือตัวเธอไม่เคยเหมาะกับชีวิตในโลกที่มีแต่พิธีรีตอง จืดชืด แม้จะปลอดภัยและเป็นที่นับหน้าถือตา ใจของเธอนั้นอยู่แต่กับการออกไปปฏิบัติหน้าที่ในสภาวะที่วุ่นวายคาดคะเนอะไรไม่ได้ และอันตราย

เอพริลเดินมาถึงรถและเปิดประตูเข้าไปนั่งทางด้านผู้โดยสาร

“แม่สายนะ” เธอสะบัดเสียงกอดอก

“แม่ขอโทษ” ไรล์ลี่ตอบ เธออยากจะพูดมากกว่านี้เพื่อให้เอพริลรู้ว่าเธอนั้นเสียใจจริงๆที่มาสาย ไม่ใช่แต่เฉพาะคืนนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะกับเรื่องพ่อของเธอ แต่สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ไรล์ลี่อยากจะเป็นแม่ให้ได้ดีกว่านี้มาก อยู่บ้านเพื่อเจอลูก อยู่ข้างๆเอพริลเวลาที่เธอเจอปัญหา แต่ชีวิตการทำงานของเธอก็ไม่เคยอำนวยให้ทำแบบนั้นได้

ไรล์ลี่ดึงตัวเองออกจากแรงกระตุ้นนั้น

“พ่อแม่ทั่วไปเค้าไม่ทำงานทั้งวันทั้งคืนด้วยเหมือนกัน” เอพริลว่าต่อ

ไรล์ลี่ถอนใจ

“แม่เคยบอกแล้วไงว่า – ” เธอจะเริ่มอธิบาย

“หนูรู้แล้ว” เอพริลตัดบท “อาชญากรไม่เคยมีวันหยุด ฟังแล้วเหมือนข้ออ้างนะแม่”

ไรล์ลี่ขับรถต่อไปในความเงียบอีกครู่หนึ่ง อยากจะคุยกับเอพริลแต่เธอก็เหนื่อยเกินไป เรื่องที่ทำงานเธอก็เต็มตื้นมากจนเกินพอ เธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเหมือนกัน

“อยู่กับพ่อเป็นยังไงบ้าง” เธอถามขึ้นมาในที่สุด

“ก็ซังกะบ๊วย” เอพริลตอบ

เป็นคำตอบที่รู้ๆกันอยู่แล้ว เอพริลดูจะเข้ากับพ่อไม่ค่อยได้มากกว่าแม่ซะอีกในช่วงนี้

แล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบอีก

แต่แล้ว ด้วยเสียงที่อ่อนลง เอพริลเสริมว่า “อย่างน้อยแกเบรียล่าก็อยู่ด้วย มันก็ดีที่ได้เห็นคนหน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรบ้าง”

ไรล์ลี่ยิ้มน้อยๆ เธอซาบซึ้งต่อแกเบรียล่าจริงๆ หญิงชาวกัวเตมาลาวัยกลางคนที่เป็นแม่บ้านให้เธอมานานหลายปี แกเบรียล่านั้นเป็นคนที่มีความรับผิดชอบและเป็นระเบียบ เป็นสิ่งที่ไรล์ลี่นั้นหาไม่ได้ในตัวไรอันเลย เธอรู้สึกยินดีที่แกเบรียล่านั้นยังอยู่ในชีวิตของพวกเธอ – และยังอยู่เพื่อดูแลเอพริลเมื่อใดก็ตามที่เธอต้องไปพักที่บ้านของพ่อ

ระหว่างทางกลับบ้าน ไรล์ลี่รับรู้ถึงความจำเป็นที่จะต้องสื่อสารกับลูกสาว แต่เธอจะทำอย่างไรที่จะเข้าให้ถึงลูกสาวให้ได้ มันก็ไม่ใช่ว่าเธอนั้นจะไม่เข้าใจว่าเอพริลรู้สึกยังไง – โดยเฉพาะเหตุการณ์อย่างในคืนวันนี้ ลูกสาวเธอต้องรับรู้ถึงความรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ เดี๋ยวโดนพาไปทิ้งไว้ที่บ้านพ่อ เดี๋ยวถูกส่งกลับไปบ้านแม่ มันคงจะยากสำหรับเด็กอายุสิบสี่ปีที่มีเรื่องให้กระทบอารมณ์อยู่แล้วตั้งหลายเรื่องในชีวิต โชคยังดีที่เอพริลตกลงจะไปอยู่บ้านพ่อทุกวันหลังเลิกเรียนจนกว่าไรล์ลี่จะมารับ แต่วันนี้ วันแรกของการตกลงกัน ไรล์ลี่กลับมารับช้าไปมาก

ไรล์ลี่รู้สึกเหมือนตาปริ่มๆขณะที่ขับรถไป เธอคิดอะไรไม่ออกไม่รู้จะพูดอะไร เธอเหนื่อยเกินไปจริงๆ เธอเหนื่อยเกินไป เสมอ

เมื่อกลับมาถึงบ้าน เอพริลเดินจ้ำไปที่ห้องของเธอโดยไม่พูดอะไรพร้อมปิดประตูเสียงดังใส่ ไรล์ลี่ยืนอยู่ตรงทางเดินครู่หนึ่งและเคาะประตูห้องเอพริล

“ออกมาเถอะลูก” เธอเรียก “ออกมาคุยกันหน่อย ไปนั่งกินชาเปบเปอร์มิ้นกันในครัวแป๊บนึงนะ หรือจะไปนั่งกันในสวนหลังบ้านก็ได้ วันนี้พระจันทร์สวยนะลูก น่าเสียดายถ้าไม่ออกไปดู”

เธอได้ยินเสียงเอพริลตอบกลับมา “แม่ออกไปดูเถอะ หนูไม่ว่าง”

ไรล์ลี่ยืนพิงขอบประตูอย่างหมดแรง

“ลูกบ่นอยู่ตลอดว่าแม่ไม่มีเวลาให้ลูก” ไรล์ลี่คุยต่อ

“นี่มันเลยเที่ยงคืนแล้วนะแม่ มันดึกแล้ว”

ไรล์ลี่รู้สึกที่คอเริ่มจับเป็นก้อนและน้ำในตาเริ่มเอ่ออยู่ในดวงตา แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองร้องไห้

“แม่กำลังพยายามอยู่นะ เอพริล” เธอบอก “แม่กำลังพยายามอย่างสุดๆจริงๆ – กับทุกอย่าง”

รอบตัวตกอยู่ในความเงียบ

“หนูรู้” เอพริลตอบออกมาจากในห้องในที่สุด

หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับไปเงียบเช่นเดิม ไรล์ลี่อยากจะได้เห็นหน้าลูกสาวเธอในตอนนี้ มันจะเป็นไปได้หรือที่เธอจะได้ยินเสี้ยวหนึ่งของความเห็นใจจากในคำพูดสองคำนั้น น่าจะไม่มั้ง หรือจะเป็นความโกรธ? ไรล์ลี่ก็ไม่คิดอย่างนั้นเช่นกัน คงจะเป็นความห่างเหินซะมากกว่ากระมัง

ไรล์ลี่เข้าห้องน้ำไปนานเพื่ออาบน้ำอุ่นผ่อนคลาย เธอปล่อยให้สายน้ำและหยดน้ำร้อนบีบนวดร่างกายที่ปวดเมื่อยไปทั่วจากวันที่ยาวนานและยากเย็นเช่นวันนี้ เมื่อเธออาบน้ำเสร็จแล้วออกมาเป่าผมให้แห้งร่างกายเธอก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น แต่ภายในนั้นยังคงรู้สึกโหวงๆและสับสน

เธอยังไม่พร้อมจะนอน

จึงหยิบรองเท้าแตะและเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกไปในครัว สิ่งแรกที่เธอเห็นเมื่อเปิดตู้คาบิเนตออกคือขวดวิสกี้เบอร์บอนที่ยังมีวิสกี้จุอยู่เกือบเต็ม เธอกำลังคิดว่าจะเทวิสกี้ให้ตัวเองแล้วดื่มซักสองช็อตรวด

ไม่ใช่ไอเดียที่ดี เธอย้ำกับตัวเอง

ในสภาพอารมณ์แบบนี้ เธอคงไม่หยุดแค่เพียงช็อตสองช็อตเป็นแน่ จากปัญหาสารพัดอย่างของเธอในหกสัปดาห์ที่ผ่านมา เธออุตส่าห์หักห้ามใจไม่แตะแอลกอฮอลล์เลย นี่ไม่ใช่เวลามาสูญเสียการควบคุมตัวเอง สุดท้ายแล้วเธอก็จัดการเดินไปชงชามิ้นร้อนๆให้ตัวเองแทน

หลังจากนั้นไรล์ลี่ก็เดินมานั่งในห้องนั่งเล่นและเริ่มเทภาพถ่ายและข้อมูลเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมทั้งสามออกจากซองเอกสาร

เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับเหยื่อรายที่เกิดใกล้เมืองแด็กเก็ตต์เมื่อหกเดือนก่อนมาแล้วพอสมควร – รายที่ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเป็นรายที่สองในสามของคดีทั้งหมด เอลีน โรเจอร์ส นั้นเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วและมีลูกสองคน ทำงานเป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการร้านอาหารกับสามีของเธอเอง และแน่นอน ไรล์ลี่ได้เห็นสถานที่เกิดเหตุที่เหยื่อรายที่สาม รีบ้า ฟราย ได้ถูกนำมาศพมาทิ้งไว้ เธอได้เข้าเยี่ยมครอบครัวของ

ฟรายแล้วเช่นกัน รวมถึงได้พบท่านวุฒิสมาชิกผู้หลงตัวเองคนนั้นด้วย

หากแต่คดีที่เมืองเบลดิ้งเมื่อสองปีก่อนนั้นเป็นความรู้ใหม่สำหรับเธอ ขณะที่เธออ่านรายงานนั้น มาร์กาเร็ต เจอราตี้ ก็เข้ามาในมโนภาพในสภาพยังเป็นคนจริงๆ หญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตและลมหายใจ เธอเคยทำงานในเมืองเบลดิ้งในฐานะผู้ตรวจสอบบัญชี และเพิ่งจะย้ายจากนิวยอร์คตอนบนไปเวอร์จิเนีย ครอบครัวที่ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่โดยไม่นับรวมสามีของเธอนั้นมีน้องสาวสองคน น้องชายหนึ่งคน และมารดาหม้าย เพื่อนและญาติๆบอกว่าเธอเป็นคนดีแต่ค่อนข้างสันโดษ – เป็นไปได้ว่าอาจเป็นคนขี้เหงา

นั่งดื่มชาไปไรล์ลี่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ตอนนี้ มาร์กาเร็ต เจอราตี้ นั้นจะเป็นอย่างไรหากเธอรอดชีวิตมาได้ อายุสามสิบหกปี ชีวิตยังมีโอกาสอะไรอีกมากมาย – ทั้งเรื่องลูก และเรื่องอื่นอีกเยอะแยะ

ไรล์ลี่รู้สึกขนหัวลุกเมื่ออีกความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว แค่เพียงเมื่อหกอาทิตย์ก่อน ชีวิตของตัวเธอเองก็เกือบจะต้องจบลงกลายเป็นอีกหนึ่งคดีในซองเอกสารเหมือนที่เธอกำลังนั่งอ่านอยู่นี้ เรื่องราวชีวิตของเธอทั้งหมดเกือบจะต้องกลายมาเป็นกองภาพถ่ายอันน่าเกลียดน่ากลัวอยู่ในรายงานบันทึกคดี

เธอหลับตาลงพยายามไล่ความคิดพวกนั้นออกไปเมื่อความจำในช่วงนั้นกำลังทยอยหลั่งไหลกลับเข้ามา

แต่แม้ว่าเธอจะพยายาม เธอก็ยังไม่สามารถหยุดมันได้อยู่ดี

ขณะที่เธอคืบคลานผ่านตัวบ้านอันมืดมิด เธอได้ยินเสียงอะไรขูดขีดอยู่ใต้แผ่นกระดาน แล้วก็มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ หลังจากลองเคาะๆที่กำแพง เธอก็เจอมัน – ประตูสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเล็กที่เปิดลงไปสู่พื้นที่แคบๆใต้ตัวบ้าน เธอส่องไฟฉายเข้าไปด้านใน

แสงสาดส่องลงบนหน้าตาที่หวาดกลัว

“ฉันมาเพื่อช่วยคุณ” ไรล์ลี่บอก

“คุณมาแล้ว!” เหยื่อร้องไห้ออกมา “โอ้ ขอบคุณพระเจ้าที่คุณมาถึงแล้ว!”

ไรล์ลี่พุ่งตัวข้ามพื้นดินแดงตรงไปยังกรงขังที่ตรงมุม เธอหาวิธีปลดล็อคอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนเธอจึงดึงมีดพกออกมาและงัดแม่กุญแจจนกระทั่งมันปลดออก วินาทีถัดมา หญิงสาวผู้นั้นก็คลานหนีออกมาจากกรงขัง

ทั้งไรล์ลี่และหญิงสาวมุ่งหน้าตรงไปที่ประตูจัตุรัสที่เปิดอยู่ หญิงสาวนั้นรอดออกไปได้อย่างหวุดหวิดในขณะที่ร่างอันบึกบึนของชายผู้หนึ่งออกมาขวางทางไรล์ลี่ไว้ เธอถูกบล็อคไว้ แต่ผู้หญิงคนนั้นยังมีโอกาสหนีรอดได้

“วิ่งเร็ว!” ไรล์ลี่ตะโกน “หนีไป!”

ไรล์ลี่ดึงตัวเองกลับมาในห้วงปัจจุบัน เธอจะมีวันหลุดพ้นจากความหวาดกลัวนี้หรือเปล่านะ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำคดีใหม่ที่ต้องไปข้องเกี่ยวกับความตายและการทรมานนี้ไม่ได้ทำให้อะไรง่ายขึ้นสำหรับเธอ

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังมีอยู่คนหนึ่งที่เธอจะหันหน้าไปพึ่งได้เสมอ

เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วส่งข้อความหามารี

เฮ้ คุณนอนแล้วรึยัง

เพียงไม่กี่วินาที ก็มีข้อความส่งตอบกลับมา

ยังค่ะ คุณเป็นยังไงบ้าง

ไรล์ลี่พิมพ์ตอบ: ก็ไม่ค่อยดี แล้วคุณหล่ะ

ยังกลัวจนนอนไม่ได้รึเปล่า

ไรล์ลี่อยากจะพิมพ์อะไรที่จะทำให้ทั้งคู่รู้สึกดีขึ้น แต่แค่ส่งข้อความแบบนี้ดูเหมือนจะไม่พอ

คุณอยากจะคุยมั้ย เธอพิมพ์ไป ฉันหมายถึง คุยนะ – ไม่ใช่ส่งข้อความ

ใช้เวลานานหลายวินาทีกว่ามารีจะตอบกลับมา

ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากคุย

ไรล์ลี่แปลกใจไปนิดหนึ่ง แต่แล้วเธอก็เข้าใจ ว่าเสียงของเธอนั้นมันไม่ได้ฟังแล้วสบายใจสำหรับมารี บางครั้งมันอาจจะยิ่งกระตุ้นให้กลับไปคิดถึงความทรงจำเลวร้ายพวกนั้นก็ได้

ไรล์ลี่นึกถึงคำพูดครั้งล่าสุดของมารีที่ได้คุยกัน ตามหาไอ้สารเลวนั่น แล้วฆ่ามันให้ฉัน ระหว่างที่กำลังนึกสงสัยอยู่นั้น ไรล์ลี่ก็มีข่าวที่คิดว่ามารีคงอยากได้ยิน

ฉันกลับไปทำงานแล้ว ไรล์ลี่พิมพ์

มารีพิมพ์รัวตอบกลับมาอย่างเร็วหลายข้อความ

โอ้ ดีจังเลย! ดีใจจัง! ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันภูมิใจในตัวคุณนะ คุณกล้าหาญมาก

ไรล์ลี่ถอนหายใจ เธอไม่ได้คิดว่าเธอกล้าหาญเลย – ไม่ใช่แค่เฉพาะตอนนี้

มารียังคงพูดต่อ

ขอบคุณมาก การที่รู้ว่าคุณกลับไปทำงานอีกครั้งทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก ฉันว่าตอนนี้ฉันคงนอนหลับได้แล้วล่ะ กู้ดไนท์

ไรล์ลี่พิมพ์ตอบกลับไป สู้สู้นะคะ

หลังจากนั้นเธอจึงวางโทรศัพท์ลง เธอเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร การกลับไปทำงานได้แบบนี้เท่ากับเธอได้ทำอะไรสำเร็จไปแล้วขั้นหนึ่ง เธอกำลังจะค่อยๆหายดีอย่างช้าๆแต่มั่นคง

ไรล์ลี่จัดการดื่มชาที่เหลือจนหมดและตรงไปนอนทันที เธอปล่อยให้ความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำและหลับไหลไปอย่างรวดเร็ว

ไรล์ลี่ในวัยหกขวบอยู่ในร้านขายลูกกวาดกับแม่ เธอมีความสุขมากง่วนอยู่กับลูกกวาดที่แม่กำลังซื้อให้เธอ

แต่แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาพวกเธอ ผู้ชายร่างใหญ่กำยำ เขาสวมอะไรบางอย่างคลุมหน้า – ถุงน่องไนล่อน แบบเดียวกับที่แม่สวมอยู่ที่ขา เขากระชากปืนออกมาตะโกนใส่แม่ว่าให้เอากระเป๋าเงินมาให้เขา แต่แม่นั้นกลัวมากจนขยับไม่ได้ เธอไม่กล้าล้วงให้เขา

และนั่นทำให้เขายิงเข้าที่หน้าอกของเธอ

เธอล้มลงกับพื้น เลือดไหลนอง ผู้ชายคนนั้นกระตุกกระเป๋าเธอไปพร้อมกับวิ่งหนี

ไรล์ลี่เริ่มตะโกนแหกปาก ตะโกนแล้ว ตะโกนเล่า

แล้วเธอก็ได้ยินเสียงของแม่

“ไม่มีอะไรที่ลูกจะช่วยแม่ได้ แม่ต้องไปแล้วและหนูก็หยุดมันไม่ได้หรอก”

ไรล์ลี่ยังคงอยู่ในร้านขายลูกกวาดแต่ตอนนี้เธออยู่ในร่างของผู้ใหญ่แล้ว ยืนคร่อมร่างของศพแม่ที่นอนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าเธอ

“หนูต้องพาแม่กลับมา!” เธอร้องไห้

แม่นั้นกำลังส่งยิ้มเศร้าๆให้ไรล์ลี่

“หนูทำไม่ได้หรอกลูก” แม่บอก “หนูทำให้คนตายฟื้นคืนชีพไม่ได้”

ไรล์ลี่เด้งตัวขึ้นนั่ง หายใจหอบ สะดุ้งตื่นจากฝันจากเสียงก๊อกแก๊กรัวๆ เธอมองไปรอบตัวรู้สึกตื่นๆ บ้านนั้นเงียบลงแล้วตอนนี้

แต่เธอแน่ใจว่าเธอได้ยินเสียงบางอย่าง เหมือนเสียงมันมาจากประตูหน้าบ้าน

ไรล์ลี่ลุกขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ เธอคว้าไฟฉายมาถือไว้ ดึงปืนออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้วค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวังผ่านตัวบ้านไปที่ประตูหน้าบ้าน

เธอมองลอดบานกระจกแก้วที่ประตู แต่ก็ไม่พบอะไร ทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบ

ไรล์ลี่ทำใจเตรียมพร้อมและเปิดประตูผลัวะออกไปพร้อมส่องไฟฉายออกไปด้านนอก ไม่มีใคร ไม่มีอะไรผิดปกติ

ขณะที่กำลังส่องไฟฉายไปมา บางอย่างที่เฉลียงด้านหน้าสะดุดตาเธอ มีหินก้อนเล็กๆกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้น มีใครเอามาโยนใส่ประตูทำให้เสียงดังก๊อกแก๊กรึเปล่า?

ไรล์ลี่พยายามนึกในหัว พยายามจะนึกให้ได้ว่ามีหินอยู่ตรงนั้นหรือไม่เมื่อตอนที่เธอกลับถึงบ้านเมื่อคืนนี้ ในอารมณ์เบลอเพิ่งตื่นนอนของเธอนั้น เธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเคยอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า

 

ไรล์ลี่ยืนอยู่อีกครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นใครเลยบริเวณนั้น

เธอปิดและล็อคประตูหน้าและเดินกลับผ่านห้องโถงไปยังห้องนอน พอมาถึงสุดทาง เธอก็ต้องตกใจที่เห็นประตูห้องนอนของเอพริลเปิดแง้มอยู่

ไรล์ลี่ดึงประตูเปิดออกและมองเข้าไปด้านใน

หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นตระหนก

เอพริลหายไปแล้ว