Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

“คุณเจอราลด์” เธอเรียก “วันนี้วันอะไร”

คอสโกรฟเหลือบมองรอบๆตัวอย่างงุนงงสับสน

“ผม – ผมไม่รู้” เขาติดอ่าง

ไรล์ลี่ชักสงสัย – มันจะจริงหรือเปล่านะ? เขาไม่รู้จริงๆเหรอว่าวันนี้เป็นวันอะไร เขาฟังดูเหมือนคนไม่รู้จริงๆ ไม่ได้ดูขมขื่นหรือโกรธเกรี้ยว เธอมองไม่เห็นแววนักสู้ในตัวเขาเลย มีแต่ความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง

แต่แล้วเธอก็ต้องเตือนตัวเองอย่างขึงขังว่าอย่าหลงกลเขาเชียว พวกโรคจิตวิปริตสามารถสร้างเรื่องโกหกได้เนียน สามารถหลอกได้แม้แต่ผู้ชำนาญการ

บิลปลดพันธนาการคอสโกรฟออกจากตู้เย็น คงไว้แต่กุญแจมือที่ข้อมือไพล่หลังของเขา

บิลตะคอก “คุณเจอราลด์ คอสโกรฟ คุณถูกจับข้อหาฆาตกรรมเหยื่อสามราย…”

บิลและไรล์ลี่พาเขาออกจากเทรลเลอร์ไปอย่างไม่เบามือ ขณะที่บิลก็ร่ายข้อหาและสิทธิ์ของเขาไปด้วย แล้วจึงผลักเขาเข้าไปในรถคันที่บิลขับมา – รถสภาพดีอุปกรณ์ครบมือขององค์กรที่มีลูกกรงกั้นกลางระหว่างที่นั่งด้านหน้าและด้านหลัง ทั้งสองผลักเขาเข้าไปนั่งด้านหลัง พร้อมใส่กุญแจมือและรัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่มีคำพูดใดหลุดออกมา

“ให้ตายเหอะไรล์ลี่ คุณทำสำเร็จแล้ว” บิลพึมพำเบาๆด้วยความชื่นชม “คุณจับตัวไอ้ชั่วนี่ได้แล้ว – แบบไม่มีตราประจำตัวด้วย องค์กรต้องอ้าแขนยินดีต้อนรับคุณกลับมาแน่”

“คุณอยากให้ฉันนั่งไปด้วยรึเปล่า” ไรล์ลี่ถาม

บิลยักไหล่ “ไม่เป็นไร ผมจับมัดไว้เรียบร้อยหมดแล้ว เดี๋ยวผมคุมตัวเขากลับไปเอง คุณขับรถตัวเองกลับไปเถอะ”

ไรล์ลี่ตัดสินใจไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย ยังอยากรู้ว่าเขายังโกรธเรื่องคืนนั้นอยู่หรือเปล่า

ขณะที่มองบิลขับรถออกไป เธออยากจะยินดีกับความสำเร็จให้ตัวเอง และที่เธอกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้ด้วย แต่ไม่รู้ทำไมเธอกลับไม่รู้สึกยินดีหรือพอใจอะไรเลย เธอยังตะหงิดๆกับบางอย่างในใจ เธอกลับนึกถึงคำพูดของพ่อซ้ำไปซ้ำมา

ไม่ว่ายังไง เธอก็ทำตามเซ้นท์ของเธอไป

ไรล์ลี่ค่อยๆสำนึกบางอย่างขึ้นมาได้อย่างช้าๆ ในขณะที่เธอขับรถกลับ

เซ้นท์ของเธอมันบอกว่าพวกเขาเพิ่งจะจับฆาตกรผิดคน

บทที่ 33

เช้าวันรุ่งขึ้นไรล์ลี่ขับรถไปส่งเอพริลที่โรงเรียน ขณะที่หย่อนลูกลงจากรถ เซ้นท์ของเธอก็ยังรบกวนจิตใจอยู่อย่างนั้น มันทำให้เธอนอนไม่หลับมาตลอดคืน

มันจะใช่คนนี้รึเปล่า? เธอถามตัวเองซ้ำๆ

ก่อนเอพริลจะลงจากรถ เด็กสาวหันมาหาเธอด้วยสีหน้าเป็นห่วงอย่างจริงใจ

“แม่คะ มีอะไรรึเปล่า” เธอถาม

ไรล์ลี่ชะงักไปเล็กน้อยกับคำถาม ดูเหมือนเธอกับลูกสาวกำลังเข้าสู่ช่วงเริ่มการสานสัมพันธ์ใหม่ – ความสัมพันธ์ใหม่ที่ดีกว่าเดิมมาก ยังไงก็แล้วแต่ เธอก็ยังไม่ค่อยชินกับการที่ลูกมาใส่ใจกับความรู้สึกเธอแบบนี้ มันรู้สึกดีนะ แต่ก็แปลกๆ

“ดูออกเหรอ” ไรล์ลี่ถาม

“ก็ชัดเจนซะขนาดนี้” เอพริลตอบ พร้อมกับจับมือแม่เบาๆ “บอกหนูมาเถอะ”

ไรล์ลี่คิดไปแป๊บนึง ความรู้สึกแบบนั้นมันไม่ง่ายที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

“แม่…” เธอเริ่มพูด แต่ก็หยุดชะงักไป ไม่แน่ใจว่าต้องพูดว่าอะไร “แม่ไม่แน่ใจว่าแม่จับฆาตกรถูกคน”

เอพริลตาโต

“แม่ไม่แน่ใจว่าแม่ต้องทำอะไร” ไรล์ลี่เสริม

เอพริลหายใจเข้ายาว

“อย่าสงสัยตัวเองสิคะ” เอพริลตอบ “แม่ก็ทำอยู่บ่อยๆ แล้วก็มาเสียใจทีหลัง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เคยสอนหนูมาตลอดเหรอ”

เอพริลยิ้ม และเธอก็ยิ้มตอบ

“ถ้าหนูไม่ไปตอนนี้เดี๋ยวจะสายแล้ว” เอพริลบอก “เดี๋ยวไปคุยกันต่อที่บ้าน”

เอพริลจุ๊บที่แก้มของเธอ ลงจากรถแล้วพุ่งเข้าไปในโรงเรียน

ไรล์ลี่นั่งอยู่ในรถคิดอะไรอยู่อีกหน่อย เธอไม่ได้ขับออกไปเลยทันที แต่กลับโทรหาบิล

“เจออะไรบ้างมั้ย” เธอถามเมื่อเขารับสาย

เธอได้ยินเสียงบิลถอนหายใจยาว

“คอสโกรฟนี่เป็นคนบุคลิกแปลก” เขาบอก “ตอนนี้สภาพมันดูไม่ได้เลย – ทั้งล้าแล้วก็ซึมเศร้า ร้องไห้เยอะด้วย ผมว่าอีกแป๊บมันต้องสติแตกชัวร์ แต่ว่า…”

บิลชะงักไปกลางคัน ไรล์ลี่สัมผัสได้ว่าเขาก็กำลังสงสัยเหมือนกัน

“แต่อะไร” เธอถาม

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันไรล์ลี่ เขาดูไม่ค่อยอยู่กะร่องกะรอย ผมไม่แน่ใจว่าเขารู้รึเปล่าว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น สติของเขาเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป บางทีก็ดูเหมือนไม่รู้ว่าถูกจับอยู่ ไม่แน่ไอ้พวกยาที่กินนั่นมันอาจจะกล่อมประสาท หรือไม่เขาก็เป็นโรคจิตล้วนๆ

ความสงสัยส่วนตัวของเธอเองเริ่มตะหงิดๆอีกแล้ว

“เขาบอกอะไรคุณบ้าง” เธอถาม

“ส่วนมากก็ถามหาแต่ตุ๊กตา” บิลตอบ “เขาเป็นห่วงพวกมันมากอย่างกับเป็นเด็กหรือสัตว์เลี้ยงที่ไม่ควรปล่อยให้อยู่บ้านตามลำพัง บอกแต่ว่าพวกมันอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา แล้วตัวเขาเองก็เซื่องมาก ไม่มีอาการก้าวร้าวเลย แต่ก็ไม่บอกข้อมูลอะไรออกมาเหมือนกัน ไม่พูดอะไรเกี่ยวกับผู้เคราะห์ร้ายเลย หรือแม้แต่มีจับใครไว้อยู่ตอนนี้รึเปล่าก็ไม่บอก”

เธอเก็บคำพูดของบิลมาคิดประมวลอยู่ในสมอง

“คุณคิดว่ายังไง” เธอถามออกมาในที่สุด “คุณว่าเขาจะใช่มันมั้ย”

ไรล์ลี่รับรู้ถึงความผิดหวังในน้ำเสียงของเขา

“เขาจะไม่ใช่ได้ยังไง ผมหมายถึง ทุกอย่างมันชี้ไปที่เขานะ ไม่ใช่คนอื่น ทั้งตุ๊กตา ประวัติการกระทำผิด ทุกอย่างเลย เขาอยู่ในร้านเวลาเดียวกันกับที่เหยื่ออยู่อีกต่างหาก แล้วจะเอาอะไรอีก แบบนี้เราจะคิดผิดได้ยังไง”

ไรล์ลี่ไม่พูดอะไร เธอเองก็เถียงไม่ออก แต่เธอสัมผัสได้ว่าบิลเองก็กำลังต่อสู้กับสัญชาตญาณของตัวเองอยู่เช่นกัน

จึงถามขึ้นมาว่า “มีใครหาข้อมูลลูกจ้างเก่าๆของร้านแมเดอลีนบ้างรึยัง”

“หาแล้ว” บิลตอบ “แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร ปกติแมเดอลีนจะจ้างแต่เด็กนักเรียนผู้หญิงให้มาทำงานเป็นแคชเชียร์ เธอทำแบบนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่เปิดร้าน”

ไรล์ลี่โอดอย่างหมดกำลังใจ เมื่อไหร่พวกเขาจะได้พักจากคดีนี้ซักที?

“ยังไงก็ตาม” บิลพูดต่อ “จิตเวชขององค์กรจะเข้ามาสอบปากคำคอสโกรฟวันนี้ บางทีเขาอาจจะบอกอะไรเราได้บ้าง ว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหน”

“โอเค” ไรล์ลี่ตอบ “อัพเดทฉันด้วยนะ”

เธอวางสายโทรศัพท์ รถยังคงติดเครื่องอยู่ แต่เธอก็ยังไม่ขับออกไปจากโรงเรียน เธอควรจะไปไหนดี? ถ้านิวโบรตั้งใจจะช่วยให้เธอกลับมาประจำการจริง ทำไมถึงยังไม่มีข่าวคืบหน้านะ เธอก็ยังไม่มีตรา – ไม่มีงาน

ถ้างั้นสู้ฉันกลับบ้านจะดีกว่า เธอคิด

แต่พอเธอเริ่มขับรถออกไป คำพูดของพ่อก็ย้อนกลับมาอีกอยู่ดี

ไม่ว่ายังไง เธอก็ทำตามเซ้นท์ของเธอไป

ตอนนี้ เซ้นท์ของเธอมันบอกเธอดังและชัดเจนมากว่าเธอต้องกลับไปที่เมืองเชลลี่ฟอร์ด เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เธอต้องไป

*

กระดิ่งเหนือประตูร้านเสื้อผ้าดังกรุ๊งกริ๊งขึ้นขณะที่ไรล์ลี่เดินผ่านเข้ามาข้างใน เธอมองไม่เห็นลูกค้าซักคน แมเดอลีนเงยหน้าขึ้นจากงานบนเค้าน์เตอร์และขมวดคิ้ว เธอเห็นชัดว่าเจ้าของร้านไม่ได้ยินดีเลยที่พบเธออีกครั้ง

“คุณแมเดอลีน ฉันต้องขอโทษด้วยสำหรับเรื่องเมื่อวาน” ไรล์ลี่เอ่ย เดินไปที่หน้าเค้าน์เตอร์ “ฉันซุ่มซ่ามไปหน่อยและฉันก็รู้สึกขอโทษ หวังว่าคงไม่ได้ทำอะไรแตกหักไป”

แมเดอลีนกอดอกและมองเธอตาขวาง

“คุณต้องการอะไรอีกล่ะคราวนี้” เธอถาม

“ฉันยังหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้อยู่” ไรล์ลี่บอก “ฉันอยากให้คุณช่วย”

แมเดอลีนนิ่งไปหลายวินาที

“ฉันยังคงไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร หรือแม้แต่คุณเป็นเอฟบีไอจริงรึเปล่า” เธอบอก

“ฉันรู้ และฉันก็ไม่โทษที่คุณไม่ไว้ใจฉัน” ไรล์ลี่ขอร้อง “แต่ฉันก็มีใบเสร็จของ รีบ้า ฟราย นะจำได้มั้ย ฉันได้มันมาจากคุณพ่อของเธอ ท่านเป็นคนส่งฉันมาที่นี่จริงๆ คุณก็รู้ว่าฉันไม่ได้โกหก”

แมเดอลีนส่ายหัวอย่างอ่อนใจ

“ฉันว่า มันก็คงต้องมีความหมายอะไรบางอย่างละมั้ง คุณต้องการอะไร”

“ขอฉันดูห้องสะสมตุ๊กตานั้นอีกครั้งได้มั้ย” ไรล์ลี่ขอร้อง “ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเสียหายคราวนี้”

“ก็ได้” แมเดอลีนตอบ “แต่ฉันไม่ทิ้งคุณเอาไว้คนเดียวแน่”

“ไม่มีปัญหาเลย” ไรล์ลี่ขอบคุณ

ไรล์ลี่เดินไปทางด้านหลังร้านและเปิดประตูบานเฟี้ยมออก ขณะที่ไรล์ลี่เคลื่อนตัวผ่านตุ๊กตาและเครื่องประดับนั้น แมเดอลีนก็ยืนจับตาดูเธออยู่ที่ประตูราวกับเหยี่ยวจ้องเหยื่อ ไรล์ลี่เข้าใจความไม่วางใจของเธอดี แต่การจับผิดแบบนี้มันทำให้เธอเสียสมาธิ – โดยเฉพาะตอนนี้ที่ตัวเธอเองยังไม่รู้ว่าต้องมองหาอะไร

ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งเหนือประตูก็ดังขึ้น ลูกค้าสามคนดูเอะอะมะเทิ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน

“ตายละ” แมเดอลีนอุทานขึ้น เธอรีบออกไปที่โซนเสื้อผ้าเพื่อดูแลลูกค้า ไรล์ลี่ได้อยู่กับตุ๊กตาพวกนี้ตามลำพังแล้ว อย่างน้อยก็แป๊บนึง

เธอเข้าไปพินิจดูพวกมันใกล้ๆ บ้างก็ยืนอยู่ บ้างก็นั่ง ตุ๊กตาทุกตัวถูกจับแต่งตัวในชุดเดรสกับชุดราตรี แต่ถึงแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้า แต่ตุ๊กตาที่นั่งอยู่นั้นอยู่ในท่าเดียวกับเหยื่อฆาตกรรม ขาแหกออกแบบแข็งทื่อ เห็นได้ชัดว่าฆาตกรต้องมีแรงบันดาลใจมาจากตุ๊กตาประเภทนี้

แต่เธอจะมาดูเพียงแค่นี้ไม่ได้ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น เธอสะดุดตากับแถวหนังสือโฟโต้บุ๊คบนเชลฟ์ด้านล่าง นั่งย่อเข่าลงและเริ่มดึงออกมาดูทีละเล่มๆ ภายในหนังสือมีภาพวาดเรื่องราวผจญภัยลายเส้นสวยงาม เกี่ยวกับเด็กหญิงตัวน้อยที่หน้าเหมือนตุ๊กตาเด๊ะ แถมทั้งเด็กหญิงทั้งตุ๊กตาบนปกหนังสือยังสวมชุดเดรสเหมือนกันอีกด้วย ไรล์ลี่เข้าใจเลยว่าหนังสือและตุ๊กตาจริงๆแล้วมันคงถูกผลิตมาให้ขายคู่กันเป็นเซ็ต

ไรล์ลี่ตัวแข็งทื่อไปเมื่อเห็นภาพปกภาพหนึ่ง เด็กหญิงมีผมบลอนด์ยาวและดวงตาสีฟ้าเบิกโตเป็นประกายสดใส ชุดราตรีสีชมพูขาวมีรอยแต่งแต้มไปด้วยดอกกุหลาบคาดรอบบริเวณกระโปรง ผมเธอมัดไว้ด้วยริบบิ้นสีชมพู หนังสือมีชื่อว่า A Grand Ball for a Southern Belle (งานเลี้ยงยิ่งใหญ่เพื่อหญิงงามแห่งแดนใต้)

ไรล์ลี่ขนลุกซู่เมื่อเธอจ้องเข้าไปใกล้ๆหน้าของเด็กหญิง ตาของเด็กน้อยเป็นประกายสีฟ้าสดใส เบิกตากว้างและมีขนตาดำขลับขนาดใหญ่ ปากของเธออวบอิ่มและมีสีชมพูสว่างอยู่ในท่าฉีกยิ้มกว้างแบบเกินจริง ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว ไรล์ลี่มั่นใจว่าฆาตกรมีความหมกมุ่นในภาพตรงหน้านี้อย่างแน่นอน

และตอนนั้นเอง กระดิ่งก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับที่ลูกค้าทั้งสามเดินออกไปจากร้าน แมเดอลีนสาวเท้ากลับมาที่ห้องด้านหลัง เห็นชัดว่าโล่งอกที่ไรล์ลี่ไม่ได้ทำอะไรเสียหายอีก ไรล์ลี่ชี้หนังสือให้เธอดู

“คุณแมเดอลีน คุณมีตุ๊กตาที่มาเป็นเซ็ตกับหนังสือเล่มนี้มั้ยคะ” ไรล์ลี่ถาม

แมเดอลีนมองไปที่ภาพปก แล้วมองปราดไปที่ชั้นวาง

“ฉันคิดว่า ฉันน่าจะเคยมีอยู่หลายตัวไม่เมื่อใดก็เมื่อหนึ่งนะคะ” เธอตอบ “แต่ฉันไม่เห็นมันแล้ว” เธอคิดไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อว่า “มาคิดดูอีกที ฉันขายตัวสุดท้ายไปนานแล้ว”

ไรล์ลี่แทบจะเก็บเสียงสั่นของเธอไว้ไม่อยู่

“คุณแมเดอลีน ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากทำ แต่คุณ ต้อง ช่วยฉันหาชื่อของคนที่อาจจะเคยซื้อตุ๊กตาตัวนี้ไป ฉันไม่รู้จะบอกให้คุณทราบได้ยังไงว่ามันสำคัญมากแค่ไหน”

ตอนนี้แมเดอลีนดูเหมือนจะเห็นใจกับอาการอยู่ไม่ติดของไรล์ลี่

“ฉันขอโทษด้วย แต่คงไม่ได้” เธอตอบ “ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วย แต่ฉันช่วยไม่ได้ มันผ่านมาสิบหรือสิบห้าปีแล้ว ขนาดบันทึกของฉันยังไม่ได้เก็บข้อมูลไว้นานขนาดนั้นเลย”

ไรล์ลี่จิตตกทันที ทางตันอีกแล้วหรือนี่ เธอพยายามมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้แล้ว มันเสียเวลาจริงๆที่กลับมาที่นี่

ไรล์ลี่หันหลังจะกลับ เธอเดินผ่านภายในร้านออกไปและเปิดประตู อากาศบริสุทธิ์ภายนอกกระทบจมูกเธอ พร้อมกับที่เธอรู้สึกสะดุดกับบางอย่าง กลิ่น อากาศบริสุทธิ์ภายนอกทำให้เธอตระหนักว่าอากาศภายในร้านมันไม่สด ไม่ใช่ไม่สดสิ แต่…กลิ่นมันฉุนต่างหาก ดูไม่ค่อยเข้ากันกับภาพลักษณ์อ่อนหวานดูเป็นกุลสตรีของร้านสักเท่าไหร่ มันคืออะไรกันนะ?

 

ไรล์ลี่ก็นึกรู้ทันที แอมโมเนีย แต่มันหมายความว่ายังไงล่ะ?

ทำตามเซ้นท์ของเธอ ไรล์ลี่

เปิดประตูออกไปได้ครึ่งทาง เธอก็หยุดและหันหลังกลับมามองแมเดอลีน

“วันนี้คุณได้ทำความสะอาดพื้นรึเปล่าคะ” ไรล์ลี่หันไปถาม

แมเดอลีนส่ายหน้า งงๆ

“ฉันจ้างบริษัทข้างนอกค่ะ” เธอตอบ “พวกเขาส่งพนักงานทำความสะอาดมา”

ไรล์ลี่ใจเต้นแรงขึ้น

“พนักงานทำความสะอาดเหรอคะ” เธอถามด้วยเสียงเบาราวกระซิบ

แมเดอลีนพยักหน้า

“เขาจะมาช่วงเช้า ไม่ได้มาทุกวันหรอกค่ะ เขาชื่อ เดิร์ก”

เดิร์ก เหรอ หัวใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ เนื้อตัวเย็นเฉียบไปหมด

“เดิร์กอะไรคะ” เธอถาม

แมเดอลีนยักไหล่

“ฉันต้องขอโทษ แต่ฉันไม่รู้จักนามสกุลของเขา” เธอตอบ “ฉันไม่ได้เป็นคนจ่ายค่าจ้างเขา บริษัทเอเจนซี่อาจจะเป็นคนจ่าย แต่อันที่จริงแล้วงานคุณภาพไม่ดีเท่าไหร่หรอกค่ะ ทำงานสะเพร่า เดิร์กออกจะพึ่งพาอะไรไม่ได้ ถ้าคุณอยากรู้ความจริงนะ”

ไรล์ลี่หายใจเข้าช้าๆพยายามทำจิตให้แข็งเข้าไว้

“เมื่อเช้าเขามาที่นี่หรือเปล่าคะ” เธอถาม

แมเดอลีนพยักหน้าโดยไม่มีเสียงตอบ

ไรล์ลี่เดินก้าวเข้าไปหาเธอ รวบรวมความจริงจังขึงขังที่สุด

“คุณแมเดอลีน” เธอแนะนำ “ไม่ว่าคุณจะทำวิธีไหน อย่าให้ผู้ชายคนนี้กลับเข้ามาในร้านของคุณอีก เป็นอันขาด”

แมเดอลีนซวนเซด้วยความช็อค

“คุณหมายความว่า เขาเป็น – ?”

“เขาเป็นบุคคลอันตราย อันตรายถึงชีวิต และฉันต้องตามตัวเขาให้เจอเดี๋ยวนี้ คุณมีเบอร์โทรศัพท์เขามั้ย พอรู้บ้างมั้ยคะว่าเขาพักที่ไหน”

“ฉันไม่รู้ คุณต้องถามบริษัทเอเจนซี่ของเขาดู” แมเดอลีนตอบด้วยเสียงกลัวๆ “พวกเขาต้องมีข้อมูลทั้งหมดแน่ๆ อ่ะนี่ เดี๋ยวฉันจะเอานามบัตรให้คุณ”

แมเดอลีนควานหาไปรอบโต๊ะและเจอเข้ากับนามบัตรของบริษัทเอเจนซี่จัดหาคนชื่อ มิลเล่อร์ สต๊าฟฟิ่ง เอเจนซี่ เธอส่งนามบัตรให้ไรล์ลี่

“ขอบคุณ” ไรล์ลี่บอกเกือบจะหายใจไม่ออก “ขอบคุณมากๆ”

โดยไม่เสวนาอะไรต่อ ไรล์ลี่รีบก้าวออกนอกร้านไปขึ้นรถและพยายามโทรศัพท์ไปที่บริษัทเอเจนซี่ โทรศัพท์ดังแล้วดังอีก ไม่มีบริการฝากข้อความ

เธอโน๊ตที่อยู่ไว้ในความจำแล้วเริ่มขับรถออกไป

*

บริษัท มิลเล่อร์ สต๊าฟฟิ่ง เอเจนซี่ อยู่ห่างไปอีกไมล์ อยู่อีกฟากหนึ่งของเชลลี่ฟอร์ด ตั้งอยู่ในอาคารอิฐมอญที่มีร้านรวงอยู่ด้านหน้า ดูแล้วน่าจะเปิดทำการมานานแล้วหลายปี

เมื่อไรล์ลี่ก้าวเข้าไปข้างใน เธอจึงเห็นอุปกรณ์การทำงานที่ล้าสมัยต่างๆ ไม่ได้ตามโลกเลย มีคอมพิวเตอร์เก่าเก็บล้าสมัยอยู่หนึ่งเครื่องในระยะสายตา สภาพภายในค่อนข้างพลุกพล่าน คนที่มาสมัครงานหลายคนนั่งกรอกแบบฟอร์มกันอยู่ที่โต๊ะยาว

อีกสามคน – ชัดเจนว่าเป็นลูกค้า – กำลังรุมอยู่ที่เค้าน์เตอร์ด้านหน้า พวกเขากำลังต่อว่าต่อขานเสียงดังพร้อมๆกันในคราวเดียวเรื่องปัญหาเกี่ยวกับพนักงานของเอเจนซี่

ผู้ชายผมยาวสองคนทำงานรับหน้าอยู่ที่โต๊ะ จัดการกับพวกลูกค้าที่มาต่อว่าและพยายามรับสายโทรศัพท์เข้า ดูน่าจะอายุประมาณยี่สิบกว่า ท่าทางเอื่อยเฉื่อย เห็นแล้วไม่น่าจะมีประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องต่างๆสักเท่าไหร่

ไรล์ลี่ดันตัวเองเข้าไปจนถึงด้านหน้า ตรงที่เธอเห็นชายหนุ่มอายุน้อยกำลังสับรางรับโทรศัพท์อยู่ ป้ายชื่อเขียนว่า “เมลวิน”

“ดิฉันเจ้าหน้าที่พิเศษเอฟบีไอ ไรล์ลี่ เพจ” เธอประกาศ หวังว่าในความสับสันอลหม่านนี้ เมลวินจะไม่ขอดูตราประจำตัวของเธอ “ฉันมาที่นี่เพื่อสืบคดีฆาตกรรม คุณเป็นผู้จัดการรึเปล่า”

เมลวินยักไหล่ “คงใช่มั้ง”

จากสีหน้าว่างเปล่าของเขา ไรล์ลี่คิดว่าถ้าเขาไม่เมายาก็ต้องไม่ฉลาดแน่ หรือไม่ก็ทั้งคู่ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้สนใจจะดูบัตรดูตราอะไร

“ดิฉันกำลังตามหาพนักงานของคุณที่ทำงานให้ร้านของคุณแมเดอลีน” เธอบอก “พนักงานทำความสะอาดชื่อ เดิร์ก คุณแมเดอลีนเหมือนจะไม่ทราบนามสกุลของเขา”

เมลวินพึมพำกับตัวเอง “เดิร์ก เดิร์ก เดิร์ก … อ๋อ ใช่ จำได้แล้ว ‘เดิร์ก เดอะ ดิ๊ก’ พวกเราเคยเรียกเขาแบบนั้น” แล้วเขาจึงตะโกนออกไปถามคนอื่นๆ “เฮ้ยแรนดี้ เดิร์ก เดอะ ดิ๊ก ไปไหนแล้ววะ”

“เราไล่เขาออกไปแล้วไง” แรนดี้ตอบ “เขามาสายอยู่เรื่อย เวลาที่คิดจะโผล่มาอ่ะนะ เห็นแล้วรำคาญลูกนัยย์ตาอย่างแรง”่

“ไม่น่าเป็นไปได้นะคะ” ไรล์ลี่พูด “คุณแมเดอลีนบอกว่าเขายังทำงานให้ที่ร้านอยู่ เขาเพิ่งจะไปทำงานที่นั่นเมื่อเช้านี้เอง”

เมลวินงงเป็นไก่ตาแตก

“ผมมั่นใจว่าผมไล่เขาออกไปแล้วนะ” เขาตอบ เขานั่งลงตรงหน้าคอมพิวเตอร์รุ่นเดอะและเริ่มทำการค้นหาอะไรบางอย่าง “ถูกแล้วล่ะ เราไล่เขาออกไปแล้ว ประมาณเมื่อสองอาทิตย์ก่อน”

เมลวินหรี่ตามองที่หน้าจอ ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก

“เฮ้ย นี่มันแปลกๆละ” เขาเอ่ยขึ้น “ทำไมคุณแมเดอลีนยังจ่ายเช็คมาให้เราอยู่อีกในเมื่อเขาไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว คงต้องมีใครโทรไปแจ้งเธอหน่อยนะ เธอเสียเงินฟรีไปอื้อเลย”

สถานการณ์เริ่มเด่นชัดแล้วสำหรับไรล์ลี่ ทั้งๆที่โดนไล่ออกและไม่ได้รับเงินค่าจ้างแล้ว เดิร์กยังคงกลับไปทำงานที่ร้านของแมเดอลีนต่ออีก เขาต้องมีเหตุผลส่วนตัวในการกลับไปทำงานที่นั่น – เหตุผลชั่วร้ายพรรค์นั้น

“เขามีนามสกุลว่าอะไร” ไรล์ลี่ถาม

เมลวินกลอกตาไปทั่วหน้าจอคอมพิวเตอร์ เห็นชัดว่าน่าจะกำลังดูทะเบียนประวัติพนักงานของเดิร์กอยู่

“มอนโร” เมลวินตอบ “คุณอยากรู้อะไรอีกมั้ย”

เธอโล่งใจที่เมลวินไม่ได้เคร่งครัดนักกับการแชร์ข้อมูลที่น่าจะเป็นส่วนตัวนี้กับเธอ

“ฉันอยากได้ที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์” ไรล์ลี่บอก

“เขาไม่ได้ให้เบอร์ติดต่อไว้” เมลวินตอบ ตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอ “แต่ผมมีที่อยู่ 1520 ถนนลินน์”

ถึงตอนนี้ แรนดี้ดูจะสนใจบทสนทนานี้ซะแล้ว เขามองข้ามไหล่เมลวินมาดูที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

“เดี๋ยวก่อน” แรนดี้เรียกไว้ “ที่อยู่นั่นมันไม่มีจริงซะหน่อย บ้านเลขที่บนถนนลินน์ ไม่มีเลขสูงอย่างนั้น”

ไรล์ลี่ไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เดิร์ก มอนโร คนนี้ต้องไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหนอยู่แล้ว

“แล้วเลขบัตรประชาชนล่ะ” เธอถาม

“หาเจอละ” เมลวินตอบ พร้อมกับเขียนเลขลงบนกระดาษแล้วส่งต่อให้ไรล์ลี่

“ขอบคุณ” ไรล์ลี่กล่าว หยิบกระดาษแล้วเดินออกไป พอเดินออกมาถึงด้านนอกแล้วเธอจึงโทรหาบิล

“ว่าไง ไรล์ลี่” บิลทักเมื่อรับสาย “ผมก็หวังว่าจะมีข่าวดีมาบอกคุณนะ แต่นักจิตเวชของเราสอบปากคำคอสโกรฟแล้ว และเขาเชื่อว่าหมอนั่นไม่มีปัญญาฆ่าใครได้ ผู้หญิงสี่คนยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เขาบอกว่า – ”

“บิล” เธอขัดจังหวะ “ฉันได้ชื่อมาแล้ว – เดิร์ก มอนโร เขาเป็นคนของเราแน่ ฉันมั่นใจ ฉันไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ไหน คุณเช็คเลขบัตรประชาชนเขาให้หน่อยได้มั้ย ตอนนี้เลย

บิลจดตัวเลขแล้วปรับโหมดโทรศัพท์เป็นรอสาย ไรล์ลี่เดินไปเดินมาอยู่บนฟุตบาทอย่างกระวนกระวายระหว่างที่รอ แล้วในที่สุด บิลก็กลับเข้ามาในสาย

“ผมได้ที่อยู่มาแล้ว เป็นไร่หรือฟาร์ม อยู่ประมาณสามสิบไมล์ออกไปทางตะวันตกของเชลลี่ฟอร์ด เป็นถนนชนบท”

บิลอ่านที่อยู่ให้เธอฟัง

“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ไรล์ลี่บอก

บิลละล่ำละลัก

“ไรล์ลี่ คุณพูดอะไร ให้ผมเรียกทีมสนับสนุนไปที่นั่นก่อน ผู้ชายคนนี้มันอันตราย”

ไรล์ลี่รู้สึกทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมันยิบๆยับๆเต็มไปด้วยแรงสูบฉีดของอดรินาลีน

“อย่ามาเถียงกับฉัน บิล” เธอบอก “คุณควรจะรู้ดีกว่านี้ตั้งนานแล้วนะ”

ไรล์ลี่วางสายโดยไม่บอกลาซักคำ ตอนนี้กำลังขับรถดิ่งไปที่นั่นแล้ว

บทที่ 34

เมื่อบ้านไร่เข้ามาอยู่ในระยะสายตา ไรล์ลี่รู้สึกขัดแย้งในตัวเองอย่างที่เธอไม่เคยนึกมาก่อน ราวกับกำลังขับรถเข้าไปในภาพวาดสีน้ำมันของชนบทสวยสงบในอเมริกา บ้านขอบไม้ระแนงสีขาวถูกโอบล้อมไปด้วยหุบเขาเล็กๆท่าทางอบอุ่นดูสบาย ตัวบ้านนั้นเก่าแต่ชัดเจนว่าได้รับการดูแลให้อยู่ในสภาพดี

สิ่งปลูกสร้างภายนอกกระจัดกระจายอยู่บนพื้นที่ใกล้ๆ ไม่ได้มีสภาพดีเท่ากับตัวบ้าน เช่นเดียวกับยุ้งฉางขนาดใหญ่ที่ดูประหนึ่งจะพังมิพังแหล่ หากแต่สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นกลับดูมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นจากความชำรุดทรุดโทรมของมันเอง

ไรล์ลี่จอดรถไว้ห่างจากตัวบ้านเล็กน้อย เธอตรวจสอบกระบอกปืนในปลอกแล้วจึงลงจากรถ หายใจเข้าเอาอากาศบริสุทธิ์ของชนบทเข้าเต็มปอด รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย

ที่นี่มันไม่ควรจะวิจิตรงดงามอย่างนี้เลย เธอคิดในใจ แม้ตัวเองก็รู้ว่าแบบนี้แหละถึงจะเข้าเค้าแล้ว ตั้งแต่ที่เธอได้คุยกับพ่อ เธอก็สำนึกได้อยู่ลางๆแล้วว่ารังกบดานของฆาตกรน่าจะต้องเป็นสถานที่สวยงามน่าอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม มีความอันตรายแฝงอยู่ในสถานที่นี้ที่เธอเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเจอ มันคืออันตรายของการถูกมอมเมาให้หลงไหลในเสน่ห์ของสิ่งรอบตัว การไม่ระวังภัยเมื่ออยู่ที่นี่ เธอต้องเตือนสติตัวเองว่าความชั่วร้ายมันสวมรอยอยู่ในความสวยงามนี้เช่นกัน รู้แน่ว่าเดี๋ยวเธอจะต้องได้เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของสถานที่แห่งนี้ในไม่ช้า แต่เธอยังไม่รู้ว่าเธอจะไปเผชิญหน้ากับมันได้ที่ไหน

เธอเหลียวมองไปรอบๆ มองไม่เห็นรถกระบะอยู่ในพื้นที่ ถ้านายเดิร์กไม่ได้กำลังขับรถออกไปไหนซักแห่ง รถกระบะก็ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งของสิ่งปลูกสร้างรอบๆนี้ หรือไม่ก็อยู่ในยุ้งฉาง ตัวเขาเองอาจอยู่ตรงไหนก็ได้ มันแน่นอนอยู่แล้ว – ว่าอาจจะอยู่ในสิ่งปลูกสร้างข้างนอกนี้แหละ มีความเป็นไปได้ แต่เธอตัดสินใจที่จะเช็คภายในบ้านก่อนเป็นที่แรก

เสียงหนึ่งทำให้เธอสะดุ้งเฮือก ภาพจากหางตาของเธอมันบอกว่าเป็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของบางสิ่งที่มีขนฟู แต่ก็เห็นเพียงแค่ฝูงไก่หยิบมือหนึ่งเท่านั้น แม่ไก่จิกหาหนอนกินอยู่บนพื้นใกล้ๆ ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวนอกจากต้นหญ้าสูงปลายแหลมกับใบไม้เวลาถูกสายลมอ่อนโยนพัดผ่านมา เธอรู้สึกโดดเดี่ยว

ไรล์ลี่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้บ้านไร่ เมื่อมาถึงบันไดเธอชักปืนออกมาแล้วเดินขึ้นไปบนเฉลียง เธอเคาะประตูหน้าแต่ไม่มีใครตอบรับจึงเคาะอีกรอบ

“มีพัสดุส่งถึงคุณ เดิร์ก มอนโร ค่ะ” เธอตะโกนเข้าไปภายใน “ช่วยเซ็นต์พัสดุให้ด้วยค่ะ”

ยังคงเงียบ

ไรล์ลี่เดินออกมาตรงเฉลียงแล้วเริ่มวนสำรวจรอบตัวบ้าน หน้าต่างอยู่สูงเกินไปไม่สามารถส่องเข้าไปดูภายในได้ และเธอพบว่าประตูหลังก็ล็อคไว้ด้วย

เธอเดินกลับมาที่ประตูหน้าและเคาะประตูอีกรอบ ยังคงมีแต่ความเงียบงัน กลอนประตูเป็นแบบธรรมดาโบราณๆ เธอพกกุญแจผีมาด้วยอยู่ในกระเป๋าถือ เผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์แบบนี้ ยังไงซะแค่ประแจอันเดียวก็สามารถกระเทาะลูกปิดเปิดออกได้อยู่แล้ว

ไรล์ลี่เหน็บปืนเก็บเข้าปลอกและมองหาประแจ เธอแงะมันลงที่กลอนประตู งัดแล้วบิดจนตัวล็อคหมุนไปอีกด้าน เมื่อเธอลองบิดลูกบิดเข้าไปประตูก็เด้งเปิดออก เธอชักปืนกลับมาไว้กับตัวอีกครั้งแล้วเดินเข้าไปภายในบ้าน

การตกแต่งภายในดูวิจิตรงดงามดังภาพวาดเหมือนกันกับภายนอก ช่างเป็นบ้านชนบทหลังเล็กที่ไร้ที่ติ สะอาดและเป็นระเบียบมาก มีเก้าอี้นุ่มขนาดใหญ่สองตัวอยู่ในห้องนั่งเล่นมีโครเชถักผืนสีขาวอยู่ตรงที่วางแขนกับพนักพิงหลัง

สภาพห้องทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าสมาชิกในบ้านอาจจะเดินออกมาต้อนรับในนาทีไหนก็ได้ แต่พอเพ่งพินิจดูรอบตัวดีๆแล้ว ความรู้สึกแบบนั้นก็มลายหายไป อันที่จริงบ้านหลังนี้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่เลยด้วยซ้ำ ทุกอย่างดูเข้าที่เป็นระเบียบเกินไป

เธอคิดย้อนไปถึงคำพูดของพ่อเธอ

มันอยากกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง อยากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น

นั่นแหละคือสิ่งที่ เดิร์ก กำลังพยายามทำอยู่ที่นี่ แต่กำลังล้มเหลวเพราะชีวิตของเขามันมีตำหนิอย่างไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เขาคงต้องรู้ข้อนี้แน่นอน ถึงได้ทรมานเพราะมันแบบนี้

แทนที่จะหาทางกลับไปมีความสุขเหมือนในวัยเด็ก เขากลับกักขังตัวเองอยู่ในโลกจอมปลอม – เหมือนตู้โชว์ในพิพิธภัณฑ์วัตถุโบราณ ผ้าปักถูกอัดเข้ากรอบแล้วแขวนไว้บนผนัง ไรล์ลี่เขยิบเข้าไปดูใกล้ๆ

รอยปักแสดงให้เห็นเป็นรูปผู้หญิงในชุดราตรียาวมือถือร่มกันแดด ข้างใต้เธอนั้นมีรอยปักเป็นคำว่า…

หญิงงามแห่งแดนใต้นั้น มีสิ่งนี้

งามสง่า

สุภาพนอบน้อม

มีสมบัติผู้ดี …

ลิสยังมีร่ายต่อ แต่ไรล์ลี่ไม่ได้สนใจจะอ่านส่วนที่เหลือ เธอได้รับสารที่สำคัญสำหรับเธอแล้ว ผู้ปักผ้าก็มีแต่ฝันกลางวันต่อไป เห็นได้ชัดว่า ไร่แห่งนี้ไม่เคยมีการทำไร่ ไม่มีหญิงงามแห่งแดนใต้ไหนเคยอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเคยนั่งจิบชาหวานและชี้นิ้วสั่งบริวาร

แต่อย่างไรเสีย จินตนาการนี้คงจะต้องสำคัญกับคนที่เคยอยู่ที่นี่ – หรือเคยอยู่ที่นี่ในอดีต บางทีอาจมีใครเคยซื้อตุ๊กตา – ตุ๊กตาที่เป็นตัวแทนของหญิงงามแห่งแดนใต้จากหนังสือนิยาย

เงี่ยหูฟังเสียงอย่างตื่นตัว ไรล์ลี่เดินเข้าไปในโถงทางเดินอย่างเงียบเชียบ ด้านหนึ่งประตูแบบโค้งเปิดออกไปสู่ห้องกินข้าว

ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอดีตยิ่งเข้มข้นขึ้น แสงแดดส่องผ่านผ้าม่านลายลูกไม้ริมกำแพงเข้ามาภายใน โต๊ะและเก้าอี้ถูกวางไว้อย่างไม่มีที่ติ ราวกับรอสมาชิกในบ้านมากินข้าว แต่เหมือนเดิม ห้องกินข้าวนี้ก็ดูเหมือนไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้ว

อีกฟากหนึ่งของโถงทางเดินเป็นห้องครัวกว้างตกแต่งแบบสมัยก่อน ตรงนั้นก็เหมือนกัน ทุกอย่างอยู่ในที่ของมัน เป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนไม่เคยถูกใช้

ด้านหน้าของเธอ ที่สุดปลายทางของโถงทางเดิน เป็นประตูปิดอยู่ ขณะที่ไรล์ลี่เดินตรงไปทางนั้น รูปภาพใส่กรอบบนผนังที่แปะไว้อยู่เป็นกลุ่มดึงดูดความสนใจของเธอ เธอจ้องดูมันด้วยความพินิจพิเคราะห์ขณะที่เดินผ่าน ดูเป็นภาพครอบครัวธรรมดาๆ บางรูปเป็นภาพขาวดำ บ้างก็เป็นภาพสี เป็นภาพเก่าสมัยอดีตกาล – อาจจะนานเป็นศตวรรษ

ภาพที่เธอเห็นเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปในทุกครัวเรือน – พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ลูกหลาน และโต๊ะกินข้าวที่มีอาหารงานเลี้ยงหรืองานเฉลิมฉลองวางเรียงรายเต็มโต๊ะ หลายภาพมันจางไปแล้ว

ภาพหนึ่งที่ไม่ได้ดูเหมือนมีอายุยาวนานเป็นสิบยี่สิบปีเป็นภาพของเด็กชายที่โรงเรียน – เด็กนักเรียนชายแต่งตัวสะอาดสะอ้านพร้อมทรงผมใหม่กับรอยยิ้มฝืนๆ ด้านขวาของภาพเป็นรูปผู้หญิงยืนกอดเด็กหญิงคนหนึ่งในชุดกระโปรงระบาย

แต่แล้ว ด้วยความช็อคเล็กๆ ไรล์ลี่สังเกตเห็นว่าทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายมีใบหน้าที่เหมือนกัน อันที่จริงพวกเขาคือคนๆเดียวกัน เด็กหญิงที่ยืนอยู่กับผู้หญิงในรูป ไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ แต่เป็นเด็กนักเรียนชายที่ถูกจับใส่ชุดเดรสกับวิกผม ไรล์ลี่ชักกลัว สีหน้าของเด็กชายมันบอกเธอว่านี่ไม่ใช่การแต่งคอสเพลย์ล้อเล่นกันหรือว่าเด็กชายเต็มใจจะแต่งเอง รอยยิ้มของเด็กชายในรูปดูอมทุกข์และเศร้าหมอง – ออกจะดูโกรธและเกลียดชังด้วยซ้ำ

 

รูปสุดท้ายเป็นรูปเด็กชายตอนอายุประมาณสิบขวบ เขาอุ้มตุ๊กตาอยู่ มีผู้หญิงยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง รอยยิ้มที่ดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ไรล์ลี่เขยิบเข้าไปดูตุ๊กตาใกล้ๆและแทบหยุดหายใจ

นั่นยังไง – ตุ๊กตาที่เหมือนกันกับรูปบนปกหนังสือในร้านแมเดอลีน มันเหมือนกันเปี๊ยบ ผมบลอนด์ยาวสีทอง ตาสีฟ้าสว่างสดใส ดอกกุหลาบ และริบบิ้นสีชมพู หลายปีก่อนผู้หญิงในรูปเคยให้ตุ๊กตาตัวนี้กับเด็กชาย เธอน่าจะบังคับเอาให้เขาเป็นแน่ หวังให้เขารักและดูแลมัน

หน้าตาอมทุกข์ของเด็กชายมันบ่งบอกถึงเรื่องจริง ครั้งนี้เขาฝืนยิ้มไม่ออก หน้าของเขาขมวดปมด้วยความขยะแขยงและเกลียดชังตัวเอง ภาพถ่ายใบนี้เก็บภาพช่วงเวลาที่บางอย่างแตกหักในตัวเขา ไม่มีวันจะกลับมารวมเป็นหนึ่งได้อีก จุดนั้นเอง ที่ภาพของตุ๊กตาหลอมรวมกับจินตนาการวัยเด็กอันโหดร้าย เขาสลัดมันไม่หลุด ไม่มีวันหลุดพ้น กลายเป็นภาพที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่กับบรรดาเหยื่อเหล่านั้น

ไรล์ลี่เบือนหน้าจากภาพ แล้วเดินตรงไปที่ประตูบานปิดตรงสุดโถงทางเดิน กลืนน้ำลายอย่างยากเย็น

นั่นไง อยู่ตรงนั้น เธอคิดในใจ

เธอแน่ใจว่าใช่ ประตูเป็นตัวกั้นระหว่างคนตาย ความประดิษฐ์ ความสวยงามจอมปลอมของบ้านชนบทหลังนี้และความจริงอันแสนโหดร้ายที่อยู่เบื้องหลัง ห้องนั้นเป็นที่ที่ความสงบสุขจอมปลอมจะถูกกระชากออกไปตลอดกาล

มือขวาถือปืน เธอใช้มือซ้ายเปิดประตูเข้าไป ในห้องมืดสนิท แม้ว่าแสงจากห้องโถงที่ลอดเข้าไปจะเพียงสลัวๆ แต่เธอก็เห็นชัดว่าสภาพภายในมันช่างแตกต่างจากส่วนอื่นๆของบ้านราวฟ้ากับเหว พื้นห้องสกปรกเต็มไปด้วยเศษซากเศษตะกอน

เธอเจอสวิตช์ไฟอยู่ด้านข้างประตูจึงกดเปิดขึ้น หลอดไฟดวงเดียวห้อยอยู่ด้านบนเผยให้เห็นฝันร้ายเบื้องหน้า สิ่งแรกที่เธอเห็นคือ แท่งเหล็กแป็บที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง ยึดติดไว้บนพื้นและเพดาน คราบเลือดบนพื้นบ่งบอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ เสียงกรีดร้องที่ไม่มีใครได้ยินดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเธอ เกินกว่าเธอจะรับไหว

ไม่มีใครอยู่ในห้อง ไรล์ลี่ตั้งสติและก้าวไปข้างหน้า หน้าต่างโดนตอกปิดหมด ไม่มีแสงอาทิตย์ กำแพงสีชมพูเต็มไปด้วยสีเพ้นท์รูปภาพจากหนังสือนิยายที่สะพรึงไปด้วยรอยมือปาด

เฟอร์นิเจอร์ของเด็ก – เก้าอี้ลูกไม้ และม้านั่งสำหรับเด็กหญิง – ล้มระเนระนาดและแตกหัก ซากตุ๊กตาโดนโยนทิ้งไว้ทุกที่ – อวัยวะที่ถูกตัด และหัว และเศษผม ยังมีวิกผมของตุ๊กตาถูกตอกติดไว้กับกำแพง

ใจเต้นแรงด้วยความกลัว ด้วยความโกรธ จำได้แม่นถึงการโดนกักขังของตัวเอง ไรล์ลี่เดินลึกเข้าไปในห้อง ตะลึงไปกับภาพที่เห็น ความฉุนเฉียว ความเวทนา ที่เธอสัมผัสได้จากที่นี่

จู่ๆก็มีเสียงขลุกขลิกมาจากด้านหลังเธอ และ ทันใดนั้น ไฟก็ดับลง

ด้วยความตื่นตระหนกเธอหันหลังไปจะยิงใส่แต่พลาด วัตถุแข็งและหนักกระแทกลงมาที่แขนเธออย่างแรง อาวุธของเธอกระเด็นหายไปในความมืด

ไรล์ลี่พยายามหลบหมัดต่อไป แต่กลับโดนวัตถุทั้งแข็งและมีน้ำหนักฟาดผ่าลงกลางกระหม่อม เสียงกระโหลกแตกดังออกมา เธอร่วงลงพื้นตะเกียกตะกายเข้าไปตรงมุมมืดของห้อง เสียงฟาดยังดังก้องอยู่ในหู เลือดคั่งจนเห็นดาววิบวับในความมืดมิดของสมอง เธอรู้ตัวดีว่าโดนทำร้าย พยายามดิ้นรนให้มีสติสัมปชัญญะ แต่กลับรู้สึกเหมือนมือกำทรายที่ค่อยๆร่วงออกตามร่องนิ้ว

นั่นไง มันอีกแล้ว – เปลวไฟสีขาวที่สาดผ่านความมืดมิดเข้ามา ค่อยๆทีละน้อย แสงระยิบระยับค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าของคนที่ถือมันมา

คราวนี้เป็นแม่ของเธอเอง กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของไรล์ลี่ ที่รอยบาดเจ็บจากกระสุนตรงกลางหน้าอกมีเลือดซึมออกมา ใบหน้าขาวซีดและไร้อารมณ์ใดๆ แต่เมื่อแม่ของเธออ้าปากพูด กลับเป็นเสียงของพ่อเธอที่ดังออกมา

“ไรล์ลี่ เธอกำลังทำผิดไปหมดทุกอย่าง”

ไรล์ลี่รู้สึกเวียนหัวคลื่นไส้ ทุกอย่างรอบตัวหมุนติ้ว โลกของเธอทำไมดูไม่สมเหตุผลเลย แม่ของเธอทำอะไร ยืนถืออุปกรณ์ทรมานนี่ทำไม? ทำไมเสียงพูดกลายเป็นเสียงของพ่อ?

เธอตะโกนออกมา “ทำไมถึงไม่ใช่ปีเตอร์สัน”

ทันใดนั้น เปลวไฟก็ดับลง เหลือไว้เพียงแต่แสงจากภาพหลอน

อีกครั้ง ที่เธอได้ยินเสียงของพ่อคำรามกึกก้องในความมืดสนิท

“นั่นมันเรื่องของเธอ ที่อยากจะจัดการความชั่วร้ายในโลก – ทีเดียวพร้อมกัน เธอต้องเลือกดีๆ จัดการทีละหนึ่ง”

สมองของเธอยังคงแหวกว่าย ไรล์ลี่พยายามทำความเข้าใจความหมายที่พ่อสื่อ

“จัดการทีละหนึ่ง” เธอพึมพำเบาๆ

สติสัมปชัญญะของเธอค่อยๆเลือนลางและหลุดลอยไป ราวกับจะเย้ยเธอด้วยความกระจ่างชัดในความไร้สติแบบนี้ เธอเห็นประตูเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เงาของชายผู้หนึ่งทับกับแสงไฟสลัวจากแสงที่โถงทางเดิน ตาของเธอมองไม่ออกว่าเขาเป็นใคร

เขาถืออะไรบางอย่าง – ชะแลง เธอเห็นชัดแล้ว มันสวมถุงเท้า แสดงว่ามันน่าจะอยู่ที่ไหนซักแห่งภายในบ้านมาโดยตลอด รอเวลาที่เหมาะสมเพื่อออกมาจัดการกับเธอ

ทั้งแขนทั้งหัวเธอเจ็บอย่างมาก รู้สึกเหมือนมีของเหลวอุ่นๆหนืดๆอยู่ด้านข้างกะโหลก เธอเลือดออก แล้วมันก็ไหลออกมามาก เธอพยายามดิ้นรนให้มีสติ

เธอได้ยินเสียงชายคนนั้นหัวเราะ และเป็นเสียงหัวเราะที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย สมองเธอกลายเป็นสับสน เสียงหัวเราะอันโหดเหี้ยมและเย้ยหยันอยู่ในความมืด มันไม่ใช่เสียงของปีเตอร์สัน แล้วไหนล่ะคบเพลิง? ทำไมทุกอย่างมันไม่เหมือนกัน?

เธอพยายามคลำหาทางออก หาความจริงของเหตุการณ์ภายในหัวสมอง

คนๆนี้ไม่ใช่ปีเตอร์สัน เธอบอกกับตัวเอง มันคือ เดิร์ก มอนโร

ไรล์ลี่กระซิบกับตัวเองเสียงดัง “จัดการทีละหนึ่ง”

สัตว์ประหลาดตัวนี้มันตั้งใจจะฆ่าเธอ

มือเธอก่ายไปรอบพื้น ปืนของเธออยู่ไหน?

ชายผู้นั้นเดินตรงมาหาเธอ ใช้มือเดียวเหวี่ยงชะแลง หวดอากาศ ไรล์ลี่เหยียดตัวลุกขึ้นยืนได้ครึ่งหนึ่งก่อนที่มันจะหวดชะแลงมาผ่านไหล่และฟาดเธอล้มลงอีกรอบ เธอเตรียมใจไว้รับแรงกระแทกอีกครั้ง แต่แล้วกลับได้ยินเสียงชะแลงตกกระทบพื้น

มีบางอย่างคล้องอยู่รอบขาซ้ายและดึงเธอ มันเอาเชือกมาคล้องขาซ้ายแล้วลากเธออย่างช้าๆผ่ากลางห้อง ผ่านกองขยะ และมุ่งตรงไปที่แท่งเหล็กแป็บตรงกลางห้อง เป็นที่ๆหญิงสาวทั้งสี่คนได้รับความทุกข์ทรมานจนตาย

ไรล์ลี่พยายามจะตรวจสอบความคิดของมัน เธอไม่ได้ถูกมันต้อนหรือเลือกมา มันไม่เคยเห็นเธอซื้อตุ๊กตาตัวที่เกลียดนักหนา แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ตั้งใจจะใช้เธออย่างคุ้มค่า มันจะทำให้เธอเป็นเหยื่อรายที่ห้า ตั้งใจให้เธอทุกข์ทรมาน เธอจะต้องตายอย่างเจ็บปวด

แม้จะรู้อย่างนั้น ไรล์ลี่ยังมองเห็นแสงแห่งความยุติธรรม อีกไม่นานบิลและทีมสนับสนุนจะมาถึงที่นี่ เดิร์กจะทำยังไงเมื่อเอฟบีไอถล่มเข้าบ้าน? มันต้องฆ่าเธอแน่ และทันทีด้วย มันคงไม่มีวันปล่อยให้เธอได้รับการช่วยเหลือ แต่มันก็ต้องพบจุดจบเช่นกัน

แต่ทำไมเธอจะต้องเป็นเหยื่อรายสุดของมันด้วย ภาพหน้าของคนที่เธอรักลอยมา – เอพริล บิล – แม้กระทั่งพ่อ ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าเธอกับมันมีความเข้าใจความป่าเถื่อนที่เหมือนกัน ความเข้าใจในความชั่วร้ายไม่มีที่สิ้นสุดของโลกนี้ ไรล์ลี่นึกถึงหน้าที่ที่เธอมีชีวิตอยู่เพื่อทำมันให้สำเร็จ และแล้วความเด็ดเดี่ยวค่อยก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ เธอจะไม่ยอมให้มันจัดการเธอได้ง่ายๆ เธอจะตายในวิธีของเธอเอง ไม่ใช่ของมัน

เธอป่ายมือไปรอบพื้นและเจอเข้ากับวัตถุแข็งๆ – ไม่ใช่ชิ้นส่วนของตุ๊กตา แต่เป็นบางอย่างที่แข็งและคม เธอจับด้ามมีดแน่น แน่ใจว่าจะต้องเป็นมีดที่มันเคยใช้กับเหยื่อทั้งสี่คน

เวลาคลานไปอย่างเอื่อยๆ เธอเพิ่งเห็นว่าเดิร์กพันเชือกไว้รอบแท่งเหล็กแป็บแล้ว และมันกำลังใช้เชือกดึงขาเธอขึ้นไปตอนนี้

มันหันหน้าไปทางอื่น มั่นใจเกินไปว่าเธอเสร็จมันแน่แล้ว ดูกำลังหมกมุ่นกับการผูกเธอไว้กับแท่งเหล็กแป็บ – หรือบนแท่งเหล็กแป็บ มันจะทำอะไรกับเธอหลังจากนี้ล่ะ

ความไม่ทันระวังตัวของมันเปิดโอกาสให้ไรล์ลี่ช่วงหนึ่ง แค่เพียงช่วงเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะหันกลับมา ยังนอนคว่ำอยู่บนพื้น เธอพยายามดันตัวขึ้นในท่านั่ง มันเห็นและกำลังจะหันกลับมา แต่เธอเร็วกว่า ใช้ขาขวาดันตัวขึ้นมาเผชิญหน้ากับมัน

เธอเสียบมีดลงไปในท้องมัน แล้วดึงออกมา และแทงซ้ำลงไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ได้ยินเสียงมันหวีดและร้องครวญคราง ไรล์ลี่ยังแทงต่อไปซ้ำๆอย่างบ้าคลั่งจนกระทั่งสลบไป