Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

บทที่ 28

ไรล์ลี่ลืมตาขึ้นแล้วหรี่ตาลงยกมือขึ้นมาบังแสงไว้ไม่ให้เข้าตา หัวของเธอยังปวดเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ปากก็แห้ง แสงสว่างยามเช้าจากหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามาทั้งแสบตาและทุกข์ทรมาน ย้ำเตือนเธอถึงแสงไฟสีขาวไม่ต่างกันจากคบเพลิงของปีเตอร์สัน

เธอได้ยินเสียงเอพริลพูดว่า “เดี๋ยวหนูจัดการเองค่ะแม่”

แล้วก็มีเสียงก็อกแก็กอะไรสักอย่างพร้อมกับที่แสงจ้านั้นหายไป เธอเปิดตาขึ้น

มองเห็นว่าเอพริลนั้นเพิ่งจะเดินไปหมุนปิดมู่ลี่ ไม่ให้แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาโดยตรง แล้วจึงเดินมาที่โซฟานั่งลงข้างๆตรงที่ไรล์ลี่นอนแผ่หราอยู่ สาวน้อยหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาส่งให้เธอ

“ระวังนะ มันร้อน” เอพริลเตือน

ห้องยังหมุนติ้วอยู่ในหัวของไรล์ลี่ เธอค่อยลุกขึ้นนั่งช้าๆและเอื้อมไปหยิบถ้วยขึ้นมาอย่างระมัดระวังพร้อมยกขึ้นจิบอึกเล็กๆ กาแฟร้อนลวกทั้งปากและปลายนิ้วของเธอ แต่ก็ยังประคองแก้วไว้ได้ เธอยกขึ้นจิบอีกอึกหนึ่ง อย่างน้อยความเจ็บปวดก็ทำให้รู้สึกเหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เอพริลมองออกไปในความว่างเปล่า

“แม่อยากจะกินข้าวเช้ารึเปล่า” เอพริลถามด้วยเสียงห่างเหิน

“ไว้ทีหลังแล้วกัน” ไรล์ลี่ตอบ “เดี๋ยวแม่ทำเอง”

เอพริลยิ้มมุมปากปนความเศร้าน้อยๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสาวน้อยจะเห็นว่าไรล์ลี่ไม่อยู่ในสภาพจะทำอะไรได้หรอก

“ไม่ต้อง เดี๋ยวหนูทำเอง” เอพริลบอก “แค่บอกมาละกันว่าแม่อยากจะกินตอนไหน”

ทั้งคู่เงียบไป เอพริลยังคงมองไปทางอื่น ความอดสูกัดแทะในจิตใจของไรล์ลี่ เธอจำได้ลางๆว่ากดโทรไปหาบิลและพูดอะไรออกไปเมื่อคืนนี้ และยังมีความคิดสุดท้ายก่อนเธอหมดสติไป – ความรู้สึกที่ว่าเธอตกลงไปกระแทกก้นเหวแล้ว และตอนนี้ที่แย่หนักกว่าเดิมคือลูกสาวเธอต้องมาเห็นสภาพเธอพังยับแบบนี้

เอพริลถามขึ้นด้วยเสียงที่ยังฟังดูห่างเหิน “แม่มีแผนจะทำอะไรบ้างวันนี้”

มันเป็นคำถามที่แปลกแต่ก็เป็นคำถามที่ดี ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องมีแผน หากจุดนี้คือก้นเหวแล้วล่ะก็ เธอต้องเริ่มดึงตัวเองขึ้นไปได้แล้ว

เธอนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของพ่อในความฝัน ขณะที่คิดนั้นก็ตระหนักได้ว่าถึงเวลาแล้วที่เธอควรเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายในใจของเธอบ้าง

พ่อของเธอเอง อิทธิพลมืดในชีวิตของเธอ คนที่อยู่ในมโนสำนึกเสมอมา คนที่เธอรู้สึกว่าเป็นพลังขับเคลื่อนของความมืดมิดที่เกาะกุมชีวิตเธอมาโดยตลอด น่าประหลาดที่กลับเป็นเขาคนเดียวที่เธอควรต้องไปหา ไม่ว่าจะเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ใฝ่หาความรักจากพ่อ หรือจะเป็นความต้องการเผชิญหน้ากับอิทธิพลมืดในชีวิต หรือความต้องการจะหลุดพ้นจากการหลอกหลอนของฝันร้าย เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ความต้องการนี้ท่วมท้นนัก

“หนูว่าจะขับรถไปเยี่ยมคุณตา” เอพริลบอก

“คุณตาเหรอ?” เธอถามอย่างตกใจ “หนูไม่ได้พบคุณตามาตั้งนานแล้ว จะไปเจอทำไม?”

“หนูว่าคุณตาเกลียดหนู” เอพริลสารภาพ

“แม่ว่าไม่ใช่หรอก” ไรล์ลี่บอก “คุณตามัวแต่เกลียดแม่ต่างหาก”

ทั้งสองเงียบไปอีก เธอรู้สึกเหมือนลูกสาวกำลังตัดสินใจแน่วแน่กับอะไรสักอย่าง

“หนูอยากให้แม่รู้ไว้” เอพริลพูดขึ้น “หนูเทวอดก้าทิ้งไปหมดแล้ว มันเหลือไม่เยอะเท่าไหร่ หนูเทวิสกี้ที่แม่ซ่อนไว้ในตู้ทิ้งไปแล้วด้วยเหมือนกัน ขอโทษค่ะ หนูรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเด็ก หนูไม่น่าจะทำแบบนั้น”

น้ำตาเอ่อล้นในดวงตา นี่เป็นการกระทำที่เป็นผู้ใหญ่และมีความรับผิดชอบที่สุดของเอพริลที่เธอเคยรู้มา”

“ไม่หรอก ลูกทำถูกแล้ว” ไรล์ลี่ปลอบ “หนูทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ขอบใจนะลูก แม่ขอโทษที่จัดการตัวเองไม่ได้”

ไรล์ลี่เช็ดน้ำตาและตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

“แม่ว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหันหน้ามาคุยกัน” เธอบอกเอพริล “แม่คิดว่าถึงเวลาแล้วที่แม่จะบอกสิ่งที่หนูอยากให้แม่บอกหนู” เธอถอนหายใจ “แต่มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกนะ”

เอพริลหันหน้ามามองเธอในที่สุด สายตาฉายแววระยิบระยับเต็มไปด้วยความหวัง

“หนูหวังว่าแม่จะบอกจริงๆ” เธอตอบ

ไรล์ลี่สูดลมหายใจยาวเข้าปอด สูดเข้าไปลึก

“เมื่อหลายเดือนก่อน แม่กำลังทำคดีนึงอยู่” เธอเริ่มเล่า ความสบายใจโอบล้อมขณะที่เธอเริ่มเล่าให้เอพริลฟังเกี่ยวกับคดีของปีเตอร์สัน รู้สึกว่าเธอผัดผ่อนเรื่องนี้มานานเกินไปแล้ว

“แม่ชะล่าใจไปหน่อย” เธอเล่าต่อ “ขณะมีเหตุการณ์เกิดขึ้น แม่เหลืออยู่ตัวคนเดียวแต่ก็ไม่อยากปล่อยโอกาสหลุดมือไป แม่ไม่ได้โทรตามทีมช่วยเหลือ คิดว่าแม่คงจัดการด้วยตัวเองได้”

“แม่ก็เป็นอย่างนี้ตลอด พยายามจัดการทุกอย่างเองโดยไม่มีหนูด้วยซ้ำ ไม่แม้แต่จะบอกอะไรหนูด้วย” เอพริลขัดจังหวะ

“ลูกพูดถูก”

ไรล์ลี่รวบรวมความกล้า

“แม่ช่วยมารีหนีรอดออกมาได้”

เธอลังเลว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ แต่แล้วก็เดินหน้าไม่ถอย ได้ยินเสียงตัวเองที่กำลังเปล่งออกไปอย่างสั่นเครือ

“แม่โดนจับได้” เธอเล่าต่อ “มันจับแม่ขังไว้ในกรง มีคบเพลิงไฟ”

เธอสติแตกร้องไห้ออกมา ความหวาดผวาต่างๆที่เธอเก็บกดมันเอาไว้พรั่งพรูออกมาให้เห็น เธออายลูกมากแต่ก็หยุดมันเอาไว้ไม่ได้

แต่แล้วเธอก็ต้องประหลาดใจ เอพริลวางมือลงบนบ่าของเธอเป็นการปลอบโยนและเธอได้ยินเสียงลูกร้องไห้ไปกับเธอด้วย

“ไม่เป็นไรแล้วค่ะแม่” เธอปลอบ

“พวกเขาหาแม่ไม่พบ” ไรล์ลี่เล่าไปสะอื้นไป “พวกเขาไม่รู้ว่าต้องไปตามหาที่ไหน เป็นความผิดของแม่เอง”

“แม่ ไม่ใช่ความผิดของแม่ซะหน่อย” เอพริลปลอบใจ

ไรล์ลี่ปาดน้ำตาทิ้ง พยายามควบคุมสติตัวเอง

“ในที่สุด แม่หนีรอดออกมาในที่สุด แม่ระเบิดที่นั่นเป็นจุล พวกเขาบอกว่าผู้ชายคนนั้นตายแล้ว มันไม่สามารถทำอะไรแม่ได้แล้ว

ความเงียบปกคลุมการสนทนา

“มันตายจริงรึเปล่าคะ” เอพริลถาม

ไรล์ลี่อยากเป็นที่สุดอยากจะตอบลูกว่าใช่ เพื่อให้ความเชื่อมั่นกับลูก แต่กลับทำแบบนั้นไม่ได้ ได้แต่พูดออกไปว่า

“แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ความเงียบมันจะเพิ่มดีกรีสงัดยิ่งกว่าเก่า

“แม่” เอพริลเรียกด้วยน้ำเสียงใหม่ เสียงของความเห็นอกเห็นใจและให้กำลังใจในแบบที่ไรล์ลี่ไม่เคยได้ยินมาก่อน “แม่ช่วยชีวิตคนไว้ตั้งหนึ่งคน แม่ควรจะภูมิใจในตัวเองนะ”

เธอส่ายหน้าช้าๆรู้สึกแย่มาก

“ทำไมเหรอ?” เอพริลถาม

“งานศพเมื่อวานที่แม่ไป” ไรล์ลี่ต่อประโยคจนจบ “เป็นงานศพของเธอ ของมารี”

“เธอตายแล้วเหรอ!?” เอพริลถาม ช็อค

ไรล์ลี่ได้แต่พยักหน้า

“ตายได้ยังไง?”

ไรล์ลี่ลังเล ไม่อยากพูดถึงมันอีกแต่ก็ไม่มีทางเลือก เธอติดค้างความจริงเรื่องนี้กับลูกและเธอก็พอกันทีกับการปิดบัง

“เธอฆ่าตัวตาย”

ได้ยินเสียงเอพริลครางออกมา

“โถ่ แม่” เธอพูดพลางร้องไห้ “หนูขอโทษ หนูขอโทษจริงๆ”

ทั้งสองร้องไห้ด้วยกันอยู่เป็นนาน นานจนกระทั่งพวกเขากลับมานิ่ง ทั้งคู่นิ่งเงียบ

ไรล์ลี่สูดหายใจเข้า โน้มตัวลงมาและยิ้มให้เอพริล ปัดผมออกจากแก้มเปียกๆของเธอด้วยความรัก

“ลูกต้องทำความเข้าใจว่าบางทีบางอย่างแม่ก็ไม่สามารถจะบอกหนูได้” ไรล์ลี่พูด “ถ้าไม่เพราะแม่บอกใครไม่ได้ ก็เพราะมันจะเป็นอันตรายถ้าหนูรู้ หรือบางทีก็เพราะแม่ไม่คิดว่าหนูควรจะเก็บมาใส่ใจ แม่ต้องเรียนรู้วิธีการเป็นแม่คนนะ”

“แต่เรื่องใหญ่ขนาดนี้” เอพริลแย้ง “แม่น่าจะบอกหนู ยังไงแม่ก็เป็นแม่ของหนูนะ หนูจะไปรู้ได้ยังไงว่าแม่ต้องเจอกับอะไรมาบ้าง หนูโตพอแล้ว หนูเข้าใจได้แน่”

ไรล์ลี่ถอนหายใจ

“แม่แค่คิดว่าหนูมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะพออยู่แล้ว โดยเฉพาะที่แม่กับพ่อเลิกกัน”

“พ่อกับแม่เลิกกันมันไม่ได้แย่เท่ากับที่แม่ไม่เคยบอกอะไร” เอพริลโต้ “พ่อก็ไม่เคยสนใจอะไรหนู ยกเว้นเวลาที่จะสั่งอะไร แต่แม่ – มันเหมือนอยู่ดีๆแม่ก็ไม่อยู่ข้างๆหนูแล้ว”

ไรล์ลี่จับมือลูกสาวมาบีบไว้แน่น

“แม่ขอโทษนะ” ไรล์ลี่บอก “สำหรับทุกอย่าง”

เอพริลพยักหน้า

“หนูก็ขอโทษเหมือนกัน” เธอตอบ

ทั้งสองกอดกันกลม เธอรับรู้เมื่อน้ำตาของลูกหยดแหมะลงบนต้นคอของเธอ ตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเสียใหม่ เธอปฏิญาณตนว่าจะต้องทำทุกอย่างให้ดีขึ้น เมื่อคดีนี้จบลง เธอจะทำหน้าที่แม่ในแบบที่เธอต้องการจะเป็นมาเสมอ

บทที่ 29

ไรล์ลี่ขับรถอย่างหวั่นๆไปยังสถานที่แห่งความทรงจำในวัยเด็ก เธอไม่รู้ว่าเธอคาดหวังจะเจอกับอะไรที่นั่น รู้เพียงแต่ว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำ – เพื่อตัวเธอเอง ยังไงก็แล้วแต่ เธอเตรียมใจไว้แล้วที่จะมาเจอพ่อ เพราะรู้ดีว่ายังไงก็จำเป็นต้องมาเผชิญหน้ากัน

ที่ลาดยาวลงไปด้านล่างคือแนวเทือกเขาแอปพาเลเชีย ซึ่งห่างไกลออกไปทางด้านใต้จากจุดของคดีล่าสุดที่เธอสืบสวนอยู่ การมาในทริปนี้เป็นเหมือนยาสมานใจเธออยู่ส่วนหนึ่ง หน้าต่างที่ถูกลดกระจกลงให้ลมโกรกเข้ามาภายในเริ่มทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น เธอลืมไปนานแล้วว่าหุบเขาชีแนนโดอาห์มันสวยงามอย่างไร เธอขับขึ้นเขาผ่านหินมากมายและมีลำธารที่กำลังไหลรินอยู่ด้านข้าง

เมื่อขับผ่านเข้าไปในเมืองในหุบเขา – มีเพียงบ้านเกาะกลุ่มกันอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน มีปั๊มน้ำมัน ร้านขายของ โบสถ์ บ้านเรือนหยิบมือหนึ่ง และร้านอาหาร เธอนึกไปถึงการใช้ชีวิตในเมืองที่คล้ายๆแบบนี้ในวัยเด็ก

เธอยังจำได้อีกว่าเธอเป็นอย่างไรตอนพวกเธอย้ายไปอยู่ที่เมืองแลนตั้น แม่บอกว่าเหตุผลที่ย้ายมาที่นี่เพราะเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยซึ่งให้อะไรกับชีวิตไรล์ลี่ได้มากกว่า นั่นทำให้การคาดหวังในชีวิตเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่วัยเด็ก เรื่องมันจะง่ายกว่านี้หรือเปล่านะหากเธอใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่เรียบง่ายและไม่มีพิษมีภัยมากกว่านี้ ในโลกที่แม่ของเธอไม่ต้องมาจบชีวิตลงด้วยกระสุนปืนในที่สาธารณะแบบนั้น

วิวเมืองลับหายไปทางด้านหลังแล้วจากทางโค้งลดเลี้ยวของถนนบนภูเขา ผ่านไปอีกไม่กี่ไมล์ไรล์ลี่ก็เลี้ยวออกจากถนนดินลูกรังที่มาจนสุดทาง

ไม่นานนักเธอก็มาถึงบ้านพักตู้คอนเทนเนอร์ที่พ่อของเธอซื้อไว้หลังปลดประจำการจากนาวิกโยธิน พาหนะที่ถูกใช้งานจนเก่าเยินจอดไว้อยู่ใกล้ๆ เธอไม่ได้มาที่นี่เกินสองปีแล้วแต่เธอก็รู้จักที่นี่ดี

ไรล์ลี่จอดรถและเดินลงมา ขณะที่เดินไปยังตู้คอนเทนเนอร์ ก็สูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดไปด้วย วันนี้เป็นวันที่แสงแดดสวยงาม และพิกัดตรงจุดนี้ก็มีอากาศดีด้วยอุณหภูมิที่เย็นกำลังพอดี เธอเก็บเกี่ยวความเงียบสงบสวยงาม บรรยากาศที่มีเสียงนกร้องกับเสียงใบไม้ไหวไปมาด้วยแรงลม รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่มีเพียงต้นไม้และผืนป่า

เธอเดินตรงไปที่ประตูผ่านตอไม้ที่พ่อของเธอตัดไม้มาทำถ่าน มีกองฟืนที่ตัดไว้แล้วอยู่ใกล้ๆ – ซึ่งจะกลายเป็นแหล่งความอบอุ่นเดียวในอากาศที่หนาวเย็นขึ้นกว่านี้ เขาอยู่อย่างไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่น้ำแร่ถูกต่อท่อยาวเข้าไปใช้ในตู้คอนเทนเนอร์

ไรล์ลี่รู้ดีว่าชีวิตเรียบง่ายแบบนี้เป็นผลมาจากการเลือกเอง ไม่ใช่จากความแร้นแค้น ด้วยสวัสดิการชั้นเลิศของพ่อ เขาสามารถจะปลดประจำการแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่เขาอยากจะไป แต่เขากลับเลือกที่นี่และไรล์ลี่ก็ไปว่าอะไรไม่ได้ ไม่แน่ในอนาคตเธออาจจะทำแบบเดียวกัน ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วเพราะว่าเงินบำนาญก้อนใหญ่ของเธอมันหลุดลอยไปแล้วตอนนี้ที่เธอถูกปลดออกจากการปฏิบัติงาน

เธอผลักประตูเปิดอย่างง่ายดาย ลึกเข้ามาในป่าขนาดนี้ คงไม่มีใครจะกลัวการถูกบุกรุก เธอเดินเข้าไปข้างในแล้วสำรวจไปรอบๆ ห้องเล็กแต่น่าอยู่มีเพียงแสงทึมๆ มองเห็นโคมไฟรอบห้องที่ไม่ได้จุดไว้ซักอัน ผนังไม้สนให้ความรู้สึกอบอุ่นกับกลิ่นหอมอ่อนของไม้

 

ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมจากครั้งสุดท้ายที่เธอมา ยังคงไม่มีหัวกวางหรือหัวสัตว์ใดตอกไว้ตามฝาบ้าน พ่อของเธอฆ่าสัตว์มาเยอะแต่ก็เพียงเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น ไม่ได้ล่าเพื่อเป็นเกมส์หรือไว้เพื่อเอาซากมาประดับบ้าน

เสียงปืนจากด้านนอกทำลายความเงียบลง นี่ไม่ใช่ฤดูล่ากวาง เธอจึงรู้ทันทีว่าพ่อของเธอคงกำลังเล่นเกมส์ยิงอะไรสักอย่าง – กระรอก อีกา หรือ หมาล่าเนื้อ เธอเดินออกไปด้านนอกตู้คอนเทนเนอร์และเดินขึ้นเขาผ่านห้องเก็บเสบียงที่เขาเก็บพวกเนื้อสัตว์ไว้ เดินไปตามทางเดินเข้าไปในป่า

เธอเดินผ่านบ่อน้ำแร่ที่เขาใช้เป็นแหล่งน้ำดื่มและอาบ มาถึงริมสวนแอปเปิ้ลเก่าแก่ ที่มีผลเล็กๆห้อยต่องแต่งอยู่ตามต้น

“พ่อคะ!” เธอตะโกนเรียก

ไม่มีเสียงขานรับ เธอแหวกต้นแอปเปิ้ลเดินเข้าไปในสวน ไม่นานก็เห็นพ่อของเธอยืนอยู่บริเวณใกล้ๆ – ชายร่างสูงใหญ่เอาเรื่อง สวมหมวกล่าสัตว์กับเสื้อกั๊กสีแดงกำลังถือปืนไรเฟิล มีกระรอกตายสามตัวอยู่แทบเท้า

เขาหันหน้ามาหาเธอ ใบหน้าเคร่งขรึมมีริ้วรอยตามวัย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ดูไม่ได้แปลกใจอะไรที่เห็นเธอ – ไม่ได้ดีใจอะไรเลย

“เธอไม่ควรจะขึ้นมาบนนี้โดยไม่สวมเสื้อกั๊กสีแดงนะ” เขาบ่น “โชคดีแค่ไหนแล้วที่พ่อไม่ได้ส่องเธอดับน่ะ”

ไรล์ลี่ไม่ได้ตอบเขา

“เอาล่ะ ตอนนี้ไม่มีอะไรเหลือให้ส่องแล้ว” เขาพูดเสียงขุ่นๆ ปลดกระสุนออกจากปืน “เธอมาไล่มันกระเจิงไปหมดแล้ว ทั้งเสียงตะโกนทั้งแหวกกิ่งไม้เสียงดัง อย่างน้อยๆพ่อก็มีกระรอกสามตัวไว้สำหรับมื้อเย็น”

เขาเริ่มเดินกลับลงเขาไป ตรงไปทางตู้คอนเทนเนอร์ ไรล์ลี่เดินตามเขาที่จ้ำอาดๆนำหน้าไปแทบไม่ทัน แม้จะปลดประจำการมาแล้วหลายปี แต่เขายังคงเดินเหมือนชายชาติทหาร ร่างกายดูเหยียดตรงแข็งแรงดั่งเหล็กไหล

เมื่อมาถึงตู้คอนเทนเนอร์ เขาไม่ได้เชื้อเชิญให้เธอเข้าไป เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะทำเช่นนั้น ในทางกลับกัน เขากลับโยนกระรอกไปไว้ในตะกร้าข้างประตูแล้วก็เดินข้ามไปที่ตอไม้ใกล้กับกองฟืนและนั่งลงตรงนั้น เขาดึงหมวกออก เผยให้เห็นผมสีขาวกับทรงผมเตียนของทหาร ไม่ได้มองมาที่ไรล์ลี่เลย

ไม่รู้จะไปนั่งตรงไหน ไรล์ลี่ทิ้งตัวลงนั่งที่บันไดทางขึ้น

“ข้างในบ้านคอนเทนเนอร์ของพ่อสวยดีนะ” เธอบอก พยายามหาเรื่องคุย “หนูเห็นพ่อก็ยังไม่เอาผลงานมาประดับบ้านเลยนี่”

“อืม ก็นะ” พ่อพูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก “ตอนล่าที่ ‘เวียดนาม’ พ่อก็ไม่เคยเก็บผลงานอยู่แล้ว คงไม่เริ่มหรอกตอนนี้”

ไรล์ลี่พยักหน้า เธอได้ยินเรื่องนี้บ่อย พูดออกมาในโทนเสียงตลกแบบจริงจัง

“แล้วที่มานี่มีอะไร?” เขาถามขึ้น

ไรล์ลี่ชักอยากจะรู้ ว่าเธอคาดหวังอะไรในชายผู้เคร่งเครียดคนนี้ การแสดงความรักแบบง่ายๆก็ทำไม่เป็น?

“หนูมีปัญหานิดหน่อยค่ะพ่อ” เธอบอก

“เรื่องอะไร?”

ไรล์ลี่ส่ายหัวยิ้มเศร้าๆ “หนูไม่รู้จะเริ่มยังไง” เธอสารภาพ

เขาถ่มน้ำลายลงบนพื้น

“เป็นเรื่องโง่มากที่เธอถูกไอ้โรคจิตนั่นจับตัวไว้ได้” เขาเอ่ย

ไรล์ลี่ประหลาดใจ พ่อรู้เรื่องได้ยังไง? เธอไม่ได้ติดต่อเขามาเป็นปีแล้ว

“หนูนึกว่าพ่ออยู่แบบไม่ตามข่าวซะอีก” เธอบอก

“พ่อก็เข้าไปในตัวเมืองอยู่บ้าง” พ่อของเธออธิบาย “แล้วก็ได้ยินมา”

เธอเกือบจะหลุดปากออกไปว่า “เรื่องโง่มาก” ของเธอน่ะช่วยชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งไว้เชียวนะ แต่เธอก็นึกได้ว่า – มันไม่ใช่เรื่องจริงเลย ในระยะยาวมันไม่ใช่เลย

แต่ยังไงเสีย เธอก็ยังคิดว่ามันน่าประหลาดใจอยู่ดีที่พ่อของเธอรู้เรื่องนี้ ที่เขายอมเอาตัวเข้าไปเจอกับความยุ่งยากในการหาข้อมูลเรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ แล้วพ่อจะรู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตเธออีกนะ?

คงไม่มากหรอกมั้ง เธอคิดในใจ อย่างน้อยก็ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เธอจะทำได้ถูกใจพ่อ

“แล้วตกลงกลับมาตั้งหลักได้รึยัง หลังจบเรื่องฆาตกรนั่น?” เขาถาม

ไรล์ลี่เคืองที่เขาถามแบบนี้

“ถ้าพ่อหมายถึงว่าหนูเป็นโรคเครียดเพราะเจอเรื่องสะเทือนใจรึเปล่าล่ะก็ ใช่ค่ะ หนูเป็น”

“โรคเครียดเพราะมีเรื่องกระทบกระเทือนใจน่ะเหรอ” เขาย้ำ หัวเราะหยันๆ “พ่อจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไอ้โรคนั่นมันหมายความว่าอะไร ก็แค่คำสวยหรูไว้เรียกเป็นข้ออ้างแทนที่จะยอมรับว่าเธอน่ะมันอ่อนแอ เท่าที่พ่อจำได้ พ่อไม่เคยเป็นโรคบ้าๆนี่ ไม่เป็นทั้งตอนที่กลับบ้านมาหลังทำศึกสงคราม, ไม่เป็นทั้งตอนที่ได้เห็นสภาพอะไรต่อมิอะไร กระทำอะไรต่อมิอะไร และที่โดนกระทำอะไรมา ไม่เห็นว่าใครจะเอาไอ้โรคนี้มาเป็นข้ออ้างให้ตัวเองได้ตรงไหน”

เขาไม่พูดอะไรต่อ มองออกไปยังความว่างเปล่าราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น ไหนๆเธอก็คิดว่าการมาเยี่ยมในครั้งนี้คงจบไม่สวยแล้ว ก็สู้เธอเล่าสิ่งที่กำลังเกิดในชีวิตเธอให้เขาฟังไปซะเลย ยังไงพ่อก็คงไม่มีคำให้กำลังใจอะไรให้เธออยู่แล้ว แต่อย่างน้อยเธอก็มีเรื่องชวนคุย

“หนูมีปัญหาเกี่ยวกับคดีนึงค่ะพ่อ” เธอเริ่มพูด “เป็นฆาตกรต่อเนื่องเหมือนกัน มันจับผู้หญิงไปทรมาน รัดคอและเอาศพออกไปจัดท่าทางข้างนอก”

“อืม พอได้ยินมาเหมือนกัน เอามาจัดท่าวางไว้ทั้งเปลือยๆ โรคจิตสุดๆ” เขาถ่มน้ำลายอีกครั้ง “ถ้าให้พ่อเดา เธอคงมีเรื่องไม่ลงรอยกับองค์กร พวกหัวโต๊ะที่ทำอะไรไม่เป็น พวกนั้นมันไม่มีทางฟังเธอ”

ไรล์ลี่ชะงักไป พ่อเดาถูกได้ยังไง?

“พ่อก็โดนเหมือนกันที่ ‘เวียดนาม’” เขาบอก “ไอ้พวกคนใหญ่คนโตมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกำลังอยู่ในศึกสงคราม พระเจ้า ถ้าพวกมันทำได้ครึ่งของพ่อ พวกเราคงชนะไปแล้ว คิดแล้วก็อยากจะอ้วก”

ไรล์ลี่สัมผัสบางอย่างในน้ำเสียงเขาที่ไม่ได้ยินบ่อยนัก – หรืออย่างน้อยเธอก็สังเกตเห็นไม่บ่อย มันคือความเสียดาย เขาเสียดายจริงๆที่ไม่ได้ชนะในสงคราม ไม่สำคัญว่ามันใช่ความผิดของเขาหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าเป็นเพราะเขา

เธอพิจารณาสีหน้าของเขาและตระหนักได้บางอย่าง เธอหน้าเหมือนพ่อ มากกว่าแม่ แต่มันยังมีมากกว่านั้น เธอ เหมือน พ่อ – ไม่ใช่เฉพาะเรื่องที่เธอไม่เก่งในการสานสัมพันธ์กับคนอื่น แต่เป็นความแน่วแน่ มีความรับผิดชอบมากไปจนโทษตัวเอง

ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีซะทั้งหมด ในสายสัมพันธ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนี้ เธอสงสัยว่าเขาอาจจะบอกเธอบางอย่างที่เธออยากรู้ได้

“พ่อคะ สิ่งที่มันทำ – มันน่ารังเกียจ ที่ทิ้งศพล่อนจ้อนและที่จัดวางท่าไว้เลวร้าย แต่ – ”

เธอหยุดพูด พยายามหาคำพูดที่ใช่

“สถานที่ที่มันทิ้งพวกเธอไว้ดูสวยงามตลอด – ป่าที่มีลำธาร, สถานที่ธรรมชาติต่างๆอะไรทำนองนั้น พ่อคิดว่ามันเลือกที่แบบนั้นในการทำเรื่องชั่วๆทำไม?”

ดวงตาของเขาหลบกลับมาภายใน พ่อของเธอดูกำลังใช้ความคิดค้นหาคำตอบในหัวตัวเอง ความทรงจำของตัวเอง พูดถึงเรื่องของตัวเองในมุมของคนอื่น

“มันอยากกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” เขาตอบ “อยากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น เธอไม่รู้สึกเหมือนกันหรอกเหรอ เธอไม่อยากกลับไปจุดเริ่มต้นแล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเหรอ กลับไปตอนที่ยังเป็นเด็ก ไปค้นหาว่าตรงไหนกันนะที่เรื่องมันเริ่มแย่แล้วแก้ไขมันซะใหม่”

เขาหยุดพูดไปอึดใจ ไรล์ลี่ย้อนนึกถึงสิ่งที่เธอคิดระหว่างทางขับรถมาที่นี่ – ว่าเธอเคยเศร้ายังไงเมื่อตอนยังเด็กที่ต้องไปจากบ้านในหุบเขาแห่งนี้ มันมีความจริงอยู่ในสิ่งที่ผู้เป็นบิดาของเธอกำลังพูดอยู่จริงๆ

“เป็นเหตุผลว่าทำไม พ่อ ถึงมาอยู่ที่นี่” เขาบอกในเสียงที่ทุ้มต่ำราวกับรำพึงรำพัน

ไรล์ลี่นั่งเงียบอยู่ตรงนั้น เก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆเข้าไปในจิตสำนึก สิ่งที่พ่อของเธอพูดเริ่มจะทำให้เห็นบางอย่างแจ่มชัดขึ้น เธอเคยคิดมาตลอดว่าฆาตกรต้องจับเหยื่อขังและทรมานไว้ในบ้านสมัยมันยังเป็นเด็กเป็นแน่ แต่เธอไม่เคยเอะใจเลยว่ามันจะมีเหตุผลในการเลือกสถานที่นั้นๆ – เป็นสื่อนำทางให้มันย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขอดีต

ยังคงไม่หันมองหน้าเธอ พ่อของเธอถามขึ้น “สมองเธอมันบอกว่ายังไง”

“มันต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับตุ๊กตา” ไรล์ลี่บอก “เป็นเรื่องที่องค์กรไม่เข้าใจ พวกเขากำลังควานหาอย่างผิดๆ ฆาตกรมันหมกมุ่นกับตุ๊กตา ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญ”

เขาพูดด้วยเสียงต่ำอย่างไม่ค่อยพอใจพร้อมกับย่ำเท้า

“ไม่ว่ายังไง เธอก็ทำตามเซ้นท์ของเธอไป” พ่อบอก “อย่าให้ไอ้พวกงี่เง่าพวกนั้นมาสั่งว่าเธอต้องทำอะไร”

ไรล์ลี่อึ้งไป ไม่ใช่ว่าพ่อของเธอจะชมอะไรเธอนักหนาหรือกำลังทำดีกับเธออยู่ เขายังคงเป็นตาแก่ขี้โมโหแบบที่เคยเป็น แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น วันนี้เขาพูดในสิ่งที่เธอต้องการได้ยินทุกอย่าง

“หนูจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจ” เธอให้คำมั่น

“เอาให้แน่เถอะว่าจะไม่เลิก” เขามีแขวะแซะเธออยู่ในเสียงกระซิบนั้น

ไม่มีอะไรต้องพูดอีกแล้ว ไรล์ลี่ลุกยืนขึ้น

“หนูดีใจที่วันนี้ได้พบพ่อนะคะ” เธอบอก หมายความแบบที่พูดจริงๆครึ่งหนึ่ง เขาไม่ตอบอะไร ยังคงนั่งมองพื้นต่อไป เธอจึงเดินไปขึ้นรถแล้วขับกลับออกไป

ระหว่างทางกลับ เธอคิดว่าความรู้สึกขากลับมันช่างต่างกับตอนขามา – น่าแปลก ที่มันรู้สึกดีขึ้นมาก เธอรู้สึกว่าบางอย่าง บางสิ่งบางอย่างระหว่างเธอกับพ่อ ได้รับการปลดปมเคลียร์กันกระจ่างแล้ว

อีกเรื่องหนึ่งที่เธอคิดได้ทั้งๆที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน ไม่ว่าฆาตกรจะอยู่ที่ไหน มันต้องไม่ใช่พวกบ้านเช่า หรือตามท่อน้ำทิ้ง หรือแม้กระทั่งพวกกระท่อมโกโรโกโสในป่าแห่งไหน

มันจะต้องเป็นสถานที่ที่สวยงาม – ที่ที่ความงามและความสะเทือนขวัญปะปนอยู่รวมกันอย่างสมดุลที่สุด

*

จากนั้นไม่นาน ไรล์ลี่มานั่งอยู่ที่ร้านกาแฟในเมืองใกล้ๆ พ่อไม่ได้เอาอะไรให้เธอกินเลย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร แล้วตอนนี้เธอก็หิวข้าว ต้องการสารอาหารมาประทังระหว่างทางกลับบ้าน

ขณะเด็กเสิร์ฟนำคลับแซนด์วิชมาวางตรงหน้า โทรศัพท์เธอก็ดังขึ้นขัดจังหวะ เธอก้มลงมองว่าใครกันที่โทรเข้ามา แต่ไม่มีชื่อหรือเบอร์โทรปรากฎอยู่บนหน้าจอให้เห็น เธอกดรับอย่างเหนื่อยใจ

“นี่ ไรล์ลี่ เพจ รึเปล่า” เสียงผู้หญิงจากปลายสายถามเข้ามา

“ใช่ค่ะ” ไรล์ลี่ตอบ

“ท่านวุฒิสมาชิกนิวโบรอยู่ในสายต้องการคุยกับคุณ กรุณารอสายสักครู่ได้มั้ยคะ”

ไรล์ลี่ตื่นตัวทันที ทั้งหมดทั้งมวลของพวกที่เธอไม่อยากคุยด้วย นิวโบรอยู่อันดับบนสุดของลิสเธอเลย เธออยากจะวางหูลงเดี๋ยวนี้ แต่มาคิดดูอีกทีนิวโบรเป็นศัตรูที่มีอำนาจอยู่แล้ว การทำให้เขาหมั่นไส้เธอมากขึ้นไม่น่าจะใช่ความคิดที่ฉลาด

“ฉันจะรอค่ะ” ไรล์ลี่ตอบไป

เพียงอึดใจเดียว เธอก็ได้ยินเสียงของวุฒิสมาชิก

“วุฒิสมาชิกนิวโบรพูดสาย คิดว่าผมกำลังคุยอยู่กับ ไรล์ลี่ เพจ ใช่มั้ย”

ไรล์ลี่ใบ้รับประทาน ไม่รู้ควรจะโกรธหรือกลัวดี เขาทำเหมือนเธอเป็นคนโทรหาเขาอย่างนั้นแหละ

“ท่านได้เบอร์นี้มายังไงคะ” เธอถาม

“ผมอยากได้อะไรผมก็ได้” นิวโบรพูดด้วยเสียงเย็นชาปกติ “ผมอยากคุยกับคุณ อย่างเป็นส่วนตัว”

เธอเซ็งเพิ่มเป็นเท่าตัว เขาอยากเจอฉันด้วยเหตุผลอะไรกัน? นี่ไม่น่าใช่เรื่องดีแน่ๆ แต่จะปฏิเสธยังไงไม่ให้เสียเรื่องล่ะ?

“ให้ผมไปเจอที่บ้านคุณก็ได้” เขาบอก “ผมรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน”

ไรล์ลี่เกือบหลุดปากถามออกไปว่าเขารู้จักบ้านเธอได้อย่างไร แต่เตือนตัวเองไว้ทันว่าเขาได้ตอบคำถามนั้นมาแล้วเมื่อกี๊นี้

“ดิฉันว่าเราคุยกันทางโทรศัพท์จะดีกว่า” ไรล์ลี่บ่ายเบี่ยง

“ขอโทษด้วย แต่คงเป็นไปไม่ได้” นิวโบรตอบ “ผมไม่อยากคุยผ่านโทรศัพท์ คุณจะมาพบผมได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่”

เธอรู้สึกเหมือนเป็นลูกไก่ในกำมือ ใจอยากจะปฏิเสธแต่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

“ตอนนี้ดิฉันออกมานอกเมือง” เธอบอก “กว่าจะถึงบ้านก็คงค่ำแล้ว พรุ่งนี้เช้าดิฉันต้องส่งลูกไปโรงเรียน เราเจอกันในเมือง

เฟร็ดดริกส์เบิร์กส์ก็ได้ อาจจะหาร้านกาแฟซักร้านนั่งคุย”

“ไม่ได้ คุยในที่สาธารณะไม่ได้” นิวโบรบอก “ต้องหาที่ๆไม่เป็นจุดสนใจมากนัก นักข่าวชอบตามผม มะรุมมะตุ้มอะไรกันเต็มไปหมดเมื่อสบโอกาส ผมไม่อยากยุ่งกับพวกนี้ ที่ควอนติโก้ล่ะเป็นยังไง ที่สำนักงานใหญ่ศูนย์วิเคราะห์พฤติกรรม”

ไรล์ลี่เก็บความขมขื่นในเสียงได้ไม่ดีนัก

“ดิฉันไม่ได้ทำงานที่นั่นแล้ว ท่านลืมไปแล้วเหรอคะ” เธอกัดเขาในที “ท่านน่าจะรู้ดีกว่าใคร”

ไม่รับ ไม่ปฏิเสธ ไม่มีเสียงใดๆ

“คุณรู้จักแมคโนเลียการ์เด้นท์คันทรี่ย์คลับมั้ย” นิวโบรถามหลังจากเงียบไป

ไรล์ลี่ถอนใจกับคำถามไร้สมองของเขา เธอไม่ได้อยู่ในแวดวงไฮโซแบบนั้น เธอจะไปรู้จักได้อย่างไรกันล่ะ

“ไม่รู้จักค่ะ” เธอตอบ

“หาง่ายมาก แถวๆกึ่งกลางระหว่างควอนติโก้กับไร่ของผม ไปเจอกันที่นั่นตอนสิบโมงครึ่ง”

เธอยิ่งคุยยิ่งไม่ชอบใจเอาเสียเลย มันไม่ใช่การขอร้อง นี่มันออกคำสั่งชัดๆ หลังจากทำลายอาชีพของเธอแล้ว ยังจะมีหน้ามาสั่งอะไรเธออีก

“เช้าไปรึเปล่า” เขาถามเมื่อเห็นไรล์ลี่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ

“ไม่ค่ะ” ไรล์ลี่ตอบ “มันแค่ – ”

นิวโบรขัดจังหวะขึ้นมาอีก “ถ้างั้นก็ไปเจอกันที่นั่น เฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่เข้ามาได้ แต่เดี๋ยวผมจะแจ้งพวกเขาไว้ว่าให้ปล่อยคุณเข้ามา คุณไม่ผิดหวังแน่ๆ เดี๋ยวคุณจะรู้เองว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เชื่อผมเถอะ”

เขาตัดสายไปห้วนๆโดยไม่บอกลา ทำเอาไรล์ลี่ถึงกับมึนไปเลยทีเดียว

“เชื่อผมเถอะ” เขาบอกอย่างนั้น

เธออาจจะหลุดขำออกมาก็ได้หากเธอไม่ได้กำลังตกใจอยู่ นอกจากปีเตอร์สันกับฆาตกรรายอื่นๆที่เธอตามจับแล้ว นิวโบรนี่แหละคือคนที่เธอไม่เชื่อ ไม่ไว้ใจมากที่สุด เธอไม่ใว้ใจเขามากกว่า คาร์ล วาล์วเดอร์ เสียอีก นั่นก็บอกอะไรได้หลายอย่างแล้ว

แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีทางเลือก เขาดูมีอะไรจะบอกเธอ ซึ่งเธอเองก็รู้สึกได้ อะไรบางอย่างที่เธอรู้สึกว่าจะนำพาไปสู่ฆาตกร