Za darmo

วั๊นซ์ กอน

Tekst
Oznacz jako przeczytane
Czcionka:Mniejsze АаWiększe Aa

ไรล์ลี่สแกนแผนที่เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์และส่งต่อไปให้บิลพร้อมกับโน๊ตต่างๆ

“แม่ อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”

ขณะที่เธอนั่งลงกับลูกสาว รู้สึกเหมือนเธอจะต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้อีกแล้ว

“ขอบใจนะลูก” เธอบอกกับเอพริล ทั้งสองเริ่มทานอาหารเช้ากันอย่างเงียบๆ

“แม่ มีอะไรรึเปล่าคะ?” เอพริลถาม

ไรล์ลี่แปลกใจกับคำถาม นี่เธอเพิ่งได้ยินเสียงเป็นห่วงจากลูกสาวของเธอหรือนี่?

ลูกสาวเธอก็ยังคงไม่ค่อยจะพูดอะไรกับเธอนักในเวลาส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยลูกเธอก็ไม่ได้ก้าวร้าวกับเธอมาหลายวันแล้ว

“ไม่มีอะไร” ไรล์ลี่ตอบ

“ไม่จริงอ่ะ” เอพริลย้อน

ไรล์ลี่ไม่ตอบอะไร เธอไม่อยากจะลากเอพริลเข้ามารับรู้เรื่องจริงอันเลวร้ายของคดี แค่นี้ลูกเธอก็มีปัญหามากพออยู่แล้ว

“คนที่โทรมาใช่บิลรึเปล่า?” เอพริลถาม

ไรล์ลี่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

“เขาโทรมามีเรื่องอะไร” เอพริลถามอีก

“แม่บอกไม่ได้”

ทั้งคู่ไม่พูดอะไรอีก กินอาหารเช้ากันต่อไปอย่างเงียบๆ

แล้วในที่สุดเอพริลก็พูดขึ้น “แม่พยายามจะหาวิธีให้หนูคุยกับแม่ ปรบมือมันต้องใช้มือทั้งสองข้าง แม่เข้าใจมั้ย แม่ก็ไม่เคยพูดอะไรกับหนูเหมือนกัน ไม่ค่อยเลย เดี๋ยวนี้แม่ยังมีพูดอะไรกับใครอยู่อีกเหรอ”

ไรล์ลี่หยุดกินพยายามดันก้อนสะอื้นกลับลงไป นั่นเป็นคำถามที่ดี และคำตอบก็คือ ไม่ เธอไม่ได้พูดอะไรกับใครเลย ไม่ได้พูดอีกต่อไป แต่เธอก็ไม่สามารถจะทำให้ตัวเองยอมรับออกมาได้

เธอเตือนตัวเองว่าวันนี้เป็นวันเสาร์ เธอไม่ต้องไปส่งเอพริลไปโรงเรียน แล้วก็ไม่ได้มีแพลนจะส่งเอพริลไปอยู่บ้านพ่อของเธอด้วย และถึงแม้ว่าจะไม่ต้องขับรถไปตะวันตกเพื่อหาหลักฐานแล้ว แต่ก็ยังมีอย่างอื่นที่เธอต้องไปทำ

“เอพริล แม่ต้องไปธุระ” เธอบอก “ลูกอยู่บ้านคนเดียวได้มั้ย?”

“ไม่มีปัญหาค่ะ” เอพริลตอบ ด้วยเสียงเศร้าๆเธอถามขึ้นว่า “อย่างน้อยแม่จะบอกหนูได้มั้ยว่าแม่จะไปไหน”

“แม่ต้องไปงานศพ”

บทที่ 26

ไรล์ลี่เข้ามาถึงที่ห้องโถงรวมในเมืองจอร์จทาวน์เพียงไม่นานก่อนพิธีฌาปนกิจศพของมารีจะเริ่มขึ้น เธอไม่ชอบงานศพเลย สำหรับเธอแล้ว มันแย่ยิ่งกว่าการไปถึงสถานที่เกิดเหตุที่มีศพเพิ่งถูกฆ่าใหม่ๆ มันทำให้เธอมวนท้องเอามากๆ แต่ในขณะเดียวกันไรล์ลี่รู้สึกเหมือนกับว่าเธอยังติดค้างอะไรบางอย่าง – ที่เธอก็ไม่แน่ใจว่าคืออะไร – กับมารี

ห้องโถงของงานศพมีสภาพภายนอกเป็นเสาอิฐสำเร็จรูปกับแผ่นผนังคอลัมน์สีขาวด้านหน้าระเบียงหลังคามุข เธอเดินเข้าไปในบริเวณต้อนรับที่ปูด้วยพรม เย็นฉ่ำด้วยเครื่องปรับอากาศ และเข้าไปในโถงทางเดินที่มีวอลเปเปอร์สีพาสเทลให้ความรู้สึกกลางๆไม่โศกเศร้าแต่ก็ไม่น่ารื่นรมย์เช่นกัน อารมณ์ของสีเหล่านี้ยิ่งทำให้เธอจิตตก ทำให้เธอยิ่งรู้สึกหมดทาง สงสัยว่าทำไมบริษัทจัดงานศพถึงไม่จัดสถานที่ให้มันหม่นๆหรือเศร้าหมองอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนพวกฮวงซุ้ยหรือโรงเก็บศพอะไรเทือกนั้น ไม่ใช่ตกแต่งหลอกตาแบบนี้

เธอเดินผ่านหลายห้องเข้าไป บางห้องมีหีบศพกับคนที่มางาน บางห้องก็ว่างโล่ง จนกระทั่งเธอเดินมาถึงสถานที่จัดงานพิธีของมารี ตรงสุดปลายทางของห้อง เธอเห็นหีบศพที่ยังไม่ได้ปิด ทำจากไม้ขัดมันโดยด้านข้างมีด้ามจับทองแดงอยู่รอบๆ แขกประมาณเกือบสามสิบคนมาร่วมงาน หลายคนนั่งรออยู่แล้ว บางคนก็จับกลุ่มสนทนากระซิบกระซาบกัน เพลงบรรเลงจืดๆขับขานอยู่ในห้อง มีแถวเล็กๆสำหรับให้คนเข้าไปทำความเคารพศพ

เธอไปต่อแถวและเพียงไม่นานเธอก็มายืนอยู่ข้างโลงศพ มองลงไปที่มารี ไรล์ลี่เตรียมใจมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่พอมาเห็นเข้าจริงเธอก็ยังคงชะงักไปอยู่ดี หน้าของมารีดูสงบและไร้ความรู้สึกใดๆ ไม่ได้บิดเบี้ยวไปด้วยความทุกข์ทรมานอย่างเช่นที่เธอเห็นตอนเธอห้อยลงมาจากโคมไฟเพดานวันนั้น สีหน้าของเธอตอนนี้ไม่มีความเครียดหรือหวาดกลัวใดๆเหมือนเวลาที่พวกเธอเคยนั่งปรับทุกข์กัน มันผิดปกตินะ อันที่จริงมันยิ่งกว่าผิดปกติเสียอีก

เธอรีบเดินผ่านโลงศพออกไป สังเกตเห็นหญิงชายวัยใกล้ชราคู่หนึ่งนั่งอยู่แถวหน้าสุด เธอเดาเอาว่านั่นคงจะเป็นพ่อแม่ของมารี พวกเขาโดนขนาบข้างไปด้วยชายหนุ่มและหญิงสาววัยไล่เลี่ยกับเธอ คิดว่าน่าจะเป็นพี่ชายและพี่สาวของมารี ไรล์ลี่นึกกลับไปถึงบทสนทนาเก่าๆกับมารีและจำได้ว่าพวกเขามีชื่อว่า เทรเวอร์ และ แชนนอน แต่เธอไม่รู้ว่าพ่อแม่ของมารีชื่ออะไร

เธอคิดว่าจะเข้าไปแสดงความเสียใจกับครอบครัว แต่เธอจะแนะนำตัวเองว่าอะไรกันล่ะ? ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ช่วยชีวิตมารีออกมา เพียงเพื่อจะมาเจอเธอเป็นศพในภายหลังงั้นเหรอ? ไม่ดีกว่า เธอน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่พวกเขาอยากเห็นหน้าในเวลานี้ มันคงเป็นการดีที่สุดที่จะปล่อยให้พวกเขาโศกเศร้าเสียใจกันอย่างสงบ

ขณะที่เธอเดินไปทางด้านหลังของห้อง เธอเพิ่งสำนึกได้ว่าเธอไม่รู้จักใครซักคนในที่นี้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกและน่าเศร้าจริงๆ จากการที่เธอทั้งสองเคยวิดีโอแชทกันมาหลายร้อยชั่วโมงนับไม่ถ้วน แล้วยังมีการนัดเจอกันตัวต่อตัวอีก พวกเธอกลับไม่มีเพื่อนร่วมกันเลยซักคนเดียว

แต่พวกเธอก็มีศัตรูร่วมกันอยู่หนึ่งคน – ไอ้คนวิปริตที่จับพวกเธอไป มันมาที่นี่รึเปล่านะวันนี้? ไรล์ลี่รู้ว่าเป็นเรื่องปกติที่ฆาตกรจะไปเยี่ยมงานศพหรือหลุมฝังศพของเหยื่อ ลึกๆแล้ว มากเท่ากับที่เธอยังติดค้างมารีอยู่ เธอต้องยอมรับว่านั่นคือเหตุผลที่แท้จริงที่เธอมาในวันนี้ เพื่อตามหาปีเตอร์สัน และมันก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงแอบพกอาวุธมาด้วย – ปืนกล็อคส่วนตัวของเธอที่เก็บไว้ในกล่องภายในกระโปรงหลังรถ

ขณะกำลังเดินไปทางด้านหลังห้อง เธอก็จดจำหน้าตาของผู้คนที่นั่งอยู่ เธอเคยเห็นหน้าของปีเตอร์สันแว่บหนึ่งจากแสงของคบเพลิง และเธอก็เคยเห็นภาพถ่ายของเขา แต่เธอไม่เคยได้เห็นหน้าเขาใกล้ๆแบบประจันหน้ากัน เธอจะจำเขาได้หรือเปล่านะ?

ใจเธอเต้นเมื่อกวาดสายตามองใบหน้าทุกคนอย่างสงสัย มองหาหน้าของฆาตกรที่อาจอยู่ในกลุ่มคนพวกนั้น แต่ไม่นานภาพทั้งหลายก็เบลอไปด้วยหน้าอันเศร้าโศกของพวกเขาที่จ้องมองเธอกลับมาอย่างงุนงง

ไม่เห็นใครที่น่าสงสัยเลย ไรล์ลี่นั่งลงตรงที่นั่งริมทางเดินตรงแถวหลัง ห่างออกมาจากคนอื่นๆ ตรงที่เธอสามารถจะมองเห็นทุกคนที่เข้าออกได้

บาทหลวงอายุน้อยผู้หนึ่งเดินขึ้นไปบนโพเดียม ไรล์ลี่รู้ว่ามารีนั้นไม่ได้เคร่งศาสนาเลย การเอาบาทหลวงมาประกอบพิธีจึงน่าจะเป็นความคิดของครอบครัวเธอซะมากกว่า ผู้คนแยกย้ายกันไปนั่งและอยู่ในความเงียบสงบ

ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและเป็นทางการ บาทหลวงเริ่มเอ่ยประโยคที่คุ้นหู

“แม้ว่าเราข้ามผ่านหุบเหวของเงาแห่งความตาย เราจะไม่เกรงกลัวต่อความชั่วร้าย เพราะเจ้ามีเราอยู่เคียงข้าง ความเกื้อหนุนค้ำจุนจากเจ้า ทำให้เราเป็นสุข”

บาทหลวงหยุดพักไปชั่วครู่ ในความเงียบชั่วอึดใจ วลีหนึ่งดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเธอ

“เราจะไม่เกรงกลัวต่อความชั่วร้าย”

ไม่รู้เพราะเหตุใด มันถึงรู้สึกฟังดูพิลึกและไม่ค่อยเหมาะสมที่จะพูด มันหมายถึงอะไรที่ว่า “ไม่เกรงกลัวต่อความชั่วร้าย” มันจะเป็นความคิดที่ดีได้ยังไงกัน หากมารีจะมีความเกรงกลัวตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน เหนื่อยล้ามากกว่านี้ เธออาจจะไม่ต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของปีเตอร์สันเลยด้วยซ้ำ

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเกรงกลัวความชั่วร้ายใด มันมีความเลวร้ายมากมายอยู่ในโลกภายนอกนั้นอยู่แล้ว

บาทหลวงเริ่มกล่าวต่อ

“สหายแห่งเรา พวกเรามาร่วมกันในที่แห่งนี้เพื่อโศกาอาดูรต่อความสูญสิ้นและเฉลิมฉลองให้แก่ชีวิตของ มารี เซย์ลส์ – ผู้เป็นบุตรี, ผู้เป็นน้องสาว, ผู้เป็นสหาย, และผู้เป็นสหายร่วมโลก…”

จากนั้นบาทหลวงก็ร่ายถ้อยคำแสดงความเสียใจอันอบอุ่นเกี่ยวกับความสูญเสีย, มิตรภาพ และครอบครัว แม้เขาจะเรียกการจากไปของมารีว่าเป็น “การลาจาก” แบบ “ก่อนเวลาอันสมควร” เขาไม่มีการกล่าวถึงความรุนแรงหรือความสะเทือนขวัญที่หลอกหลอนเธอมาในช่วงหลายอาทิตย์สุดท้ายของชีวิตเธอ

ไรล์ลี่ปิดจิตอย่างรวดเร็วไม่ให้ได้ยินเสียงเทศน์ให้โอวาทของเขา ขณะที่เธอทำเช่นนั้น ก็นึกไปถึงคำพูดในจดหมายลาตายของมารี

“นี่เป็นหนทางเดียว”

เกลียวก้อนของความรู้สึกผิดมวนตัวอยู่ภายในตัวเธอ ก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเธอเกือบจะหายใจไม่ออก เธออยากจะวิ่งออกไปข้างหน้า ผลักบาทหลวงออกไป และสารภาพต่อธารกำนัลที่รวมกันอยู่ในที่แห่งนี้ ว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเอง เธอทำผิดกับมารี เธอผิดกับทุกคนที่รักมารี เธอทำผิดต่อตัวเอง

ไรล์ลี่ต้องอดกลั้นความอยากจะสารภาพ หากแต่ความอึดอัดใจนี้กลับเริ่มทำให้เธอเห็นอะไรชัดเจนขึ้นอย่างน่าสะเทือนใจ อย่างแรก บริษัทรับจัดพิธีศพนี้จัดสถานที่โดยใช้อิฐสำเร็จรูป แผ่นคอลัมน์สีขาวงี่เง่า แล้วยังจะวอลล์เปเปอร์สีพาสเทลนั่น อันถัดมาก็เป็นใบหน้าของมารี ไร้ซึ่งความเป็นธรรมชาติใดๆ โลงศพไม้ขัดมันเงาวับนั่นด้วย แล้วตอนนี้ยังมีนักเทศน์นี่ ทั้งพูดจาท่าทางเหมือนของเด็กเล่น เหมือนหุ่นยนต์อัติโนมัติตัวจิ๋ว แล้วยังจะธารกำนัลพวกนี้ที่ผงกหัวไปมาฟังเขาเทศน์

เหมือนบ้านตุ๊กตาไม่มีผิด ไรล์ลี่ตระหนักชัดเจนแล้วตอนนี้

และมารีถูกจัดแจงเอามาไว้ในโลงศพ – ไม่ใช่ศพจริงๆ แต่เป็นศพหลอกๆ ในงานศพหลอกๆ

ความสะพรึงกลัวหลั่งไหลไปทั่วร่างของไรล์ลี่ ฆาตกรทั้งคู่ – ทั้งปีเตอร์สันและใครก็แล้วแต่ที่ฆ่า ซินดี้ แมคคินน่อน กับคนอื่นๆ – หลอมรวมกันอยู่ในความคิดของเธอ มันไม่ใช่ประเด็นว่าการจับคู่นี้มันไม่มีเหตุผลและไร้ซึ่งหลักฐาน เธอไม่สามารถแยกมันออกจากกันได้ มันได้กลายเป็นเรื่องเดียวกันสำหรับเธอไปแล้ว

ดูราวกับว่างานพิธีศพที่จัดการมาอย่างดีนี้จะเป็นขั้นตอนตบท้ายของไอ้สัตว์ประหลาดนั้น อย่างกับจะประกาศว่าต่อไปยังจะมีเหยื่ออีกมากมายและงานศพอีกหลายงานตามมา

ขณะที่เธอนั่งอยู่ หางตาก็เหลือบเห็นใครบางคนแอบเข้ามาในงานเงียบๆ ไปนั่งอยู่ตรงริมสุดของที่นั่งแถวสุดท้าย เธอหันไปมองน้อยๆเพื่อดูว่าใครกันที่มาถึงในระหว่างการดำเนินพิธี และเห็นผู้ชายคนหนึ่งแต่งชุดลำลองธรรมดา สวมหมวกเบสบอลดึงต่ำลงมาปิดตา ใจเธอเต้นรัว ตัวเขาดูใหญ่และแข็งแรงพอจะเป็นคนๆนั้นที่จัดการรวบตัวและจับเธอไว้ หน้าของเขาดูแข็ง ขบกรามไว้แน่น และเธอคิดว่าเขาหน้าเหมือนคนทำความผิดด้วย จะใช่ฆาตกรที่เธอกำลังตามหาตัวรึเปล่า?

ไรล์ลี่สำนึกได้ว่าเธอหายใจติดขัดจนแทบจะขาดอากาศหายใจ จึงหายใจเข้าออกอย่างช้าๆจนกระทั่งหายเวียนหัว เธอต้องระงับตัวเองไม่ให้พุ่งตรงไปจับตัวชายคนที่มาสาย พิธีใกล้จะเสร็จสิ้นแล้วและเธอก็ไม่ควรขัดจังหวะและลบหลู่การระลึกถึงมารี เธอต้องรอ แต่ถ้าหากเป็นมันล่ะ?

แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจ เมื่อจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องเงียบๆ หรือมันจะเห็นเธอกันนะ?

ไรล์ลี่ลุกพรวดขึ้นและตามออกไปทันที รับรู้ว่าสายตาหลายคู่มองมาที่ความไม่สงบที่เธอเพิ่งก่อ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญตอนนี้

เธอวิ่งเหยาะๆผ่านห้องโถงรวมมุ่งตรงไปที่ทางออกด้านหน้า ขณะที่เธอกระชากประตูเปิดออกนั้น ก็เห็นชายคนนั้นเดินเร็วๆจากไปบนทางเท้า เธอคว้าปืนพกและเข้าชาร์จเขาทันที

“เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ” เธอตะโกน “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!”

ชายผู้นั้นม้วนตัวหันมาประจันหน้ากับเธอ

“นี่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ!” เธอย้ำ เป็นอีกครั้งที่รู้สึกเปลือยเปล่าโดยไม่มีตราประจำตัว “ยกมือขึ้นไว้ข้างหน้า”

ชายที่ประจันหน้ากับเธออยู่นั้นดูฉงนอย่างที่สุด

“บัตรประชาชน!” เธอออกคำสั่ง

มือของเขาสั่น – ไม่ว่าจะเพราะความกลัวหรือความไม่พอใจ ไรล์ลี่ไม่อาจคาดเดาได้ เขาส่งกระเป๋าสตางค์กับใบขับขี่ให้ และเมื่อเธออ่านผ่านๆตา เห็นมันบ่งบอกว่าเขาอาศัยอยู่ในวอชิงตันดีซี

“บัตรผมอยู่นี่” เขาบอก “แล้วไหนล่ะของคุณ?”

 

ความเด็ดขาดของเธอเริ่มจะเหือดหายไป เธอเคยเห็นหน้าชายคนนี้มาก่อนรึเปล่า? เธอเองก็ไม่แน่ใจ

“ผมเป็นทนาย” เขาบอก ยังคงสั่นสะท้าน “แล้วผมก็รู้ว่าผมมีสิทธิ์อะไรบ้าง คุณภาวนาให้ตัวเองมีเหตุผลที่ดีเถอะ ที่ชักปืนออกมาจ่อผม กลางถนนในเมืองแบบนี้”

“ดิฉันเจ้าหน้าที่พิเศษ ไรล์ลี่ เพจ” เธอบอกเขา “ฉันต้องการทราบว่าคุณมาทำอะไรที่งานศพ”

ชายคนนั้นมองเธออย่างพินิจกว่าเดิม

“ไรล์ลี่ เพจ?” เขาถาม “เจ้าหน้าที่คนที่ช่วยชีวิตเธอน่ะเหรอ?”

ไรล์ลี่พยักหน้า หน้าของชายหนุ่มห่อเหี่ยวลงทันที

“มารีเป็นเพื่อนผม” เขาบอก “หลายเดือนก่อน เราสนิทกัน แล้วเรื่องสะเทือนขวัญก็เกิดกับเธอ แล้ว…”

เขากลืนก้อนสะอื้น

“ผมขาดการติดต่อกับเธอไป เป็นความผิดของผมเอง เธอเป็นเพื่อนที่ดี และผมก็ไม่ได้ติดต่อเธอกลับ แล้วตอนนี้ผมก็ไม่มีโอกาสจะทำแบบนั้นแล้ว…”

เขาส่ายหน้า

“ผมอยากจะย้อนเวลากลับไปแล้วเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใหม่ ผมแค่รู้สึกแย่กับมันมาก ยังไม่มีความกล้าพอจะอยู่จนจบพิธีศพ ผมต้องออกมาก่อน”

ชายคนนี้โดนความรู้สึกผิดกัดกินภายในใจ ไรล์ลี่รับรู้ได้และรู้สึกเจ็บปวด ด้วยเหตุผลที่คล้ายคลึงกับเหตุผลของเธอมาก

“ฉันเสียใจด้วย” ไรล์ลี่พูดอย่างนุ่มนวล เธอลดปืนลงอย่างห่อเหี่ยว “ฉันเสียใจด้วยจริงๆ ฉันจะต้องหาให้สารเลวที่ทำแบบนี้กับเธอให้เจอให้ได้”

ขณะที่เธอหันหลังเดินจากมา เธอได้ยินเสียงเขาตะโกนตามหลังมาอย่างงุนงง

“ผมนึกว่าเขาตายไปแล้วนี่?”

ไรล์ลี่ไม่ตอบ ปล่อยให้ชายหนุ่มผู้สูญเสียยืนอยู่บนทางเดินนั้น

เมื่อเธอเดินจากมา เธอรู้แล้วว่าเธอจะต้องไปที่ไหน ที่ๆไม่มีใครคนใดในโลก นอกจากมารี จะเข้าใจ

*

ไรล์ลี่ขับผ่านถนนในเมืองที่เปลี่ยนผ่านจากบ้านหรูหราในเมืองจอร์จทาวน์กลายเป็นย่านโกโรโกโสที่เมื่อก่อนเคยเป็นแหล่งพื้นที่อุตสาหกรรมที่เคยเฟื่องฟู ตึกรามบ้านช่องและร้านรวงถูกทิ้งร้าง ผู้คนที่อาศัยอยู่ยากจนแร้นแค้น ยิ่งเธอขับเข้าไปลึกเท่าไหร่ รอบตัวก็ยิ่งดูแย่ขึ้นไปเท่านั้น

เธอขับมาจอดตามแนวบล็อคที่มีแต่ตึกซ่อมซ่อเป็นแถวยาว เธอลงจากรถและแป๊บหนึ่งก็เจอกับสิ่งที่เธอมาตามหา

บ้านร้างสองหลังขนาบข้างพื้นที่ตรงกลางที่รกร้าง เมื่อไม่นานมานี้ เคยมีบ้านร้างสามหลังตั้งอยู่ตรงนี้ ปีเตอร์สันเคยบุกรุกและอาศัยอยู่ในบ้านตรงกลางโดยไม่ได้รับอนุญาต ใช้สถานที่เป็นแหล่งกบดานลับๆ ช่างเป็นบริเวณที่เพอร์เฟ็คสำหรับเขาเสียจริง อยู่ห่างไกลแยกออกจากสิ่งมีชีวิตอื่นจนไม่มีใครได้ยินเสียงที่ลอดออกมาจากใต้ถุนบ้าน

เวลานี้พื้นที่นั้นถูกไถราบเป็นหน้ากลอง หลักฐานทุกอย่างของตัวบ้านถูกรื้อถอนออกไปหมด หญ้าเริ่มจะขึ้นในบริเวณนั้น ไรล์ลี่พยายามจะนึกภาพว่ามันเคยหน้าตาเป็นอย่างไรตอนที่ยังมีบ้านอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เธอเคยอยู่ ณ ที่แห่งนั้นสมัยที่บ้านยังคงอยู่เพียงแค่ครั้งเดียว แถมยังเป็นในเวลากลางคืนอีกด้วย

ขณะที่เธอเดินเข้าไปในบริเวณรกร้าง การระลึกถึงเรื่องเก่าๆก็เริ่มกลับมา…

ไรล์ลี่สะกดรอยตามเขามาตลอดทั้งวันล่วงเลยมาถึงกลางคืน บิลโดนเรียกตัวไปทำภารกิจฉุกเฉินอื่นและเธอก็ไม่ฉลาดที่ตัดสินใจมาตามรอยชายผู้นี้คนเดียว

เธอมองเขาเดินเข้าไปในบ้านเล็กทรุดโทรมที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ที่หน้าต่าง แค่เพียงไม่นาน เขาก็ออกไปข้างนอกอีก เขาเดินเท้าไปซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่ากำลังไปไหน

เธอคิดอยู่แว่บหนึ่งว่าจะโทรตามทีมสนับสนุนให้มาช่วย แต่ก็ตัดสินใจไม่โทร ชายผู้นั้นเดินหายตัวไปแล้ว และหากผู้เคราะห์ร้ายถูกจับขังไว้ภายในบ้านหลังนั้นจริง ไรล์ลี่ก็ไม่สามารถจะทิ้งเธอไว้ลำพังให้ต้องทนทรมานอีกแม้นาทีเดียว เธอเดินขึ้นไปบนเฉลียงหน้าบ้านและทำตัวลีบดันตัวเองเข้าไประหว่างกลางแผ่นไม้ที่กั้นทางเข้าประตูเพียงส่วนหนึ่ง

เธอเปิดไฟฉาย แสงไฟส่องกระทบให้เห็นถังแก๊สโพรเพนจำนวนอย่างน้อยก็หลายโหล ไม่น่าแปลกใจอะไร ทั้งเธอและบิลรู้ว่าผู้ต้องสงสัยหมกมุ่นกับไฟ

แล้วเธอก็ได้ยินเสียงขูดขีดอยู่ใต้แผ่นไม้กระดาน กับเสียงร้องให้เบาๆ…

ไรล์ลี่ยั้งการหลั่งไหลของความทรงจำไว้กลางคัน มองไปรอบตัว เธอมั่นใจ – มั่นใจอย่างไม่มีอะไรต้องสงสัย – ว่าบัดนี้เธอกำลังยืนอยู่บนจุดที่เธอทั้งเกลียดชังทั้งตามหา มันคือที่นี่ ตรงที่เธอและมารีโดนจับขังไว้ในช่องใต้พื้น ที่ทั้งมืดและโสมม

เหตุการณ์ที่เหลือมันยังสดๆอยู่ในความรู้สึกนึกคิด เธอโดนปีเตอร์สันจับตัวไว้ได้ตอนมาช่วยมารีให้หนีรอด มารีนั้นโดนโซซัดโซเซอย่างไร้สติสมประดีออกไปหลายไมล์ ตอนที่มีคนมาพบเธอ เธอไม่รู้เลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเธอถูกจับไปไว้ที่ไหน ไรล์ลี่จึงถูกทิ้งไว้ในความมืดให้หาทางเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง

เหมือนฝันร้ายที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ต้องถูกทารุณด้วยคบเพลิงของปีเตอร์สันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในที่สุดไรล์ลี่ก็หลุดออกมาได้ พอเธอเป็นอิสระ เธอทั้งอัดทั้งกระทืบปีเตอร์สันซะเกือบปางตาย ทุกหมัดที่พุ่งออกไปรู้สึกเหมือนความอัดอั้นได้รับการปลดปล่อย หลังจากที่เธอกลับมาคิดดูแล้ว บางทีหมัดพวกนั้น การแก้แค้นเล็กๆน้อยๆ มันคงทำให้เธอได้รับการเยียวยาได้ดีมากกว่ามารี

หลังจากนั้น ด้วยความบ้าคลั่งหน้ามืดจากความกลัวและความเหนื่อยล้า เธอเททิ้งถังแก๊สโพรเพนออกทุกถัง ระหว่างที่หนีออกมาเธอก็โยนไม้ขีดจุดไฟเข้าไปข้างใน แรงระเบิดกระแทกตัวเธอกระเด็นข้ามออกมาอยู่ไกลถึงถนนอีกฟากหนึ่ง ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะรอดมาได้

เหตุการณ์ระเบิดนั้นได้ผ่านมาสองเดือนแล้ว ไรล์ลี่หยุดยืนมองฝีมือของตัวเองไปรอบๆ – พื้นที่ร้างที่ไม่มีใครอาศัยอยู่และไม่มีวันที่ใครจะมาอาศัยอยู่เช่นกัน ภาพตรงหน้าช่างน่าประทับใจดูแล้วเหมือนสภาพชีวิตเธอตอนนี้ก็ไม่ปาน ดูๆไปก็เหมือนมันจะมาจนสุดทางแล้ว – อย่างน้อยก็สำหรับตัวเธอ

อาการวิงเวียนเริ่มจะกลับมาอีกแล้ว ทั้งๆที่ยังยืนอยู่บนพื้นหญ้าแต่เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังดิ่ง ดิ่งลง ดิ่งลงไป และล้มลงตรงสู่ปากเหวนรกที่อ้าแขนเปิดรอรับเธออยู่ ทั้งๆที่ยังสว่างคาตาอยู่อย่างนี้ โลกกลับดูดำมืด – มืดมิดกว่าที่เคยต้องเจอมาในกรงขังใต้พื้นบ้าน ก้นเหวนรกมันหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ เธอยังดิ่งลึกลงไปอยู่อย่างนั้น

ไรล์ลี่นึกถึงคำที่ เบ็ตตี้ ริชเตอร์ เคยพูดไว้ ถึงเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ว่าปีเตอร์สันจะตายไปแล้ว

ฉันบอกได้ประมาณ 99%

แต่ไอ้เจ้าหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั้นมันทำให้เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ดูไร้ความหมายและเป็นเรื่องเหลวไหล อีกอย่างหนึ่ง ถึงแม้ปีเตอร์สันจะตายไปแล้วจริงๆ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือ? ไรล์ลี่ยังจำคำพูดในโทรศัพท์วันที่มารีผูกคอตายวันนั้นได้

ไม่แน่ มันอาจเป็นผี ไรล์ลี่ ไม่แน่มันกลายเป็นผีจากที่เราระเบิดมัน คุณฆ่าตัวมันแต่ความชั่วร้ายของมันไม่ได้ตายไป

ใช่แล้วล่ะ นั่นเลย เธอต่อสู้ในศึกที่ยังไงก็แพ้มาตลอดทั้งชีวิต ไม่ว่ายังไง ความชั่วร้ายก็ครองโลก เหมือนกับที่มันครองที่นี่ ที่ๆเธอกับมารีต้องทุกข์ทรมาณแสนสาหัส มันเป็นบทเรียนที่เธอน่าจะเรียนรู้ตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนที่ไร้หนทางช่วยแม่ที่กำลังถูกฆาตกรรม การฆ่าตัวตายของมารียิ่งตอกย้ำบทเรียนนี้ขึ้นไปอีก ที่ช่วยชีวิตเธอให้รอดออกมาได้ก็ไร้ความหมายใดๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะช่วยเหลือใครแม้แต่ตัวเธอเอง ยังไงความชั่วร้ายก็มีชัยอยู่ดี เหมือนที่มารีบอกทางโทรศัพท์

คุณสู้กับผีไม่ได้หรอก ยอมแพ้ซะเถอะไรล์ลี่

แล้วยังมีมารี ที่กล้าหาญมากกว่าที่ตัวเธอเคยคิดไว้ ที่ในที่สุดก็จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองพร้อมกับอธิบายทางเลือกสุดท้ายด้วยคำง่ายๆเพียงห้าคำ

นี่เป็นหนทางเดียว

แต่การปลิดชีวิตตัวเองมันไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่เป็นความขี้ขลาด

เสียงหนึ่งดังทะลุเข้ามาในความมืด

“คุณคะ เป็นอะไรรึเปล่าคะ”

ไรล์ลี่เงยหน้าขึ้นมอง

“อะไรนะคะ?”

แล้วจึงค่อยเห็นว่าตัวเองเข่าทรุดอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ร้าง น้ำตาไหลอาบแก้ม

“จะให้โทรตามใครให้มั้ยคะ” เสียงนั้นถามมาอีก เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งหยุดยืนอยู่บนทางเท้าใกล้ๆ หญิงชราแต่งตัวปอนด์ๆอีกคนหนึ่งยืนมองอย่างเป็นห่วง

ไรล์ลี่จัดการกับสติของตัวเองแล้วลุกยืนขึ้น เห็นดังนั้นหญิงคนนั้นจึงเดินออกไป เธอยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ถ้าเธอยังจบความสั่นสะพรึงนี้ของตัวเองไม่ได้ เธอรู้แล้วว่าทางไหนที่จะทำให้เธอไม่ต้องรู้สึกอะไรอีก ไม่ใช่ความกล้าหาญ ไม่ได้มีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่ไรล์ลี่ก็หาได้แคร์ไม่แล้ว เธอจะไม่ต่อต้านมันอีกแล้ว ว่าแล้วจึงเดินไปขึ้นรถและขับรถมุ่งหน้ากลับบ้าน

บทที่ 27

ด้วยมือที่ยังสั่นเทา ไรล์ลี่เอื้อมไปหยิบขวดวอดก้าที่เธอแอบไว้จากในตู้คาบิเนต ขวดที่สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่แตะอีก บิดปากขวดเปิดออกพร้อมกับพยายามจะเทลงแก้วอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้เอพริลได้ยิน ด้วยสีที่เกือบจะเหมือนน้ำเปล่า เธอหวังว่าจะเอาออกไปดื่มได้อย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องโกหกใคร เธอเองก็ไม่อยากจะโกหกใครเหมือนกัน แต่ขวดเจ้ากรรมก็ดันไหลโครกครากไม่เกรงใจใคร

“เกิดอะไรขึ้นคะแม่?” เอพริลถามมาจากโต๊ะกินข้าวด้านหลังเธอ

“ไม่มีอะไรนี่” ไรล์ลี่ตอบ

เธอได้ยินเสียงเอพริลฮึ่มฮั่มนิดหน่อย บอกได้เลยว่าลูกสาวเธอน่ะรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่มีทางซะหรอกที่จะให้เทวอดก้ากลับลงขวดไป เธอเองก็อยากสาดมันทิ้งนะ เธออยากจะทำอย่างนั้นจริงๆ สิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการจะทำก็คือการดื่มเหล้านี่แหละ โดยเฉพาะต่อหน้าเอพริล แต่เธอก็ไม่เคยรู้สึกต่ำเตี้ยเรี่ยดินอะไรอย่างนี้มาก่อน สั่นสะท้านไปหมด รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกกำลังรวมหัวกันกลั่นแกล้ง แล้วเธอก็ต้องการจะดื่มย้อมใจ

ไรล์ลี่แอบดันขวดวอดก้ากลับเข้าไปในตู้คาบิเนต แล้วจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวในมือก็ถือแก้ว เธอกระดกอึกใหญ่ ความแรงมันบาดคออย่างสาสมใจ เอพริลจ้องอยู่ครู่หนึ่ง

“นั่นมันวอดก้าใช่มั้ยแม่?” เธอถาม

ไรล์ลี่ไม่ตอบ รู้สึกผิดขึ้นมา เอพริลสมควรได้รับสิ่งนี้แล้วเหรอ? เธอทิ้งลูกไว้ที่บ้านทั้งวัน โทรกลับมาเช็คบ้างเป็นบางครั้ง ลูกสาวเธอก็รับผิดชอบดีไม่มีหาเรื่องสร้างเรื่องให้ปวดหัว แล้วตอนนี้กลับเป็นตัวเธอเองที่ทำอะไรหลบๆซ่อนๆและเลินเล่อ

“แม่ทำเป็นโมโหตอนหนูสูบกัญชา” เอพริลพูดบ้าง

ไรล์ลี่ยังคงปิดปากเงียบ

“ตอนนี้เป็นเวลาที่แม่ควรจะบอกหนูนะ ว่ามันไม่เหมือนกัน” เอพริลบอก

“มัน ไม่ เหมือนกัน” ไรล์ลี่พูดอย่างเหนื่อยอ่อน

เอพริลตาขวาง

“ยังไง?”

ไรล์ลี่ถอนใจ รู้ว่าลูกพูดไม่ผิด และตัวเองเริ่มรู้สึกละอาย

“กัญชามันผิดกฎหมาย” เธอว่า “แต่ไอ้นี่ไม่ แล้วก็ – ”

“แล้วแม่ก็เป็นผู้ใหญ่ แต่หนูเป็นเด็ก ใช่มั้ย”

ไรล์ลี่ไม่ตอบ แน่นอนนั่นละใช่เลย คือสิ่งที่เธอกำลังอ้าปากจะพูด แน่ล่ะ เธอรู้ว่ามันสองมาตรฐานและไม่ถูกต้อง

“แม่ไม่อยากเถียงด้วย” ไรล์ลี่ตอบ

“แม่จะเริ่มกลับไปทำอะไรแบบนี้อีกจริงๆเหรอ” เอพริลถาม “แม่ดื่มเหล้าไปตั้งเยอะตอนที่กำลังเจอปัญหา – ที่แม่ไม่เคยบอกหนูด้วยซ้ำว่าปัญหามันเรื่องอะไร”

เธอรู้สึกเหมือนกำลังขบกรามแน่น เป็นเพราะความโกรธอยู่รึเปล่า? เธอจะไปโกรธเอพริลเรื่องอะไร – อย่างน้อยก็ในตอนนี้

“มีบางเรื่องที่แม่บอกลูกไม่ได้จริงๆ” ไรล์ลี่บอก

เอพริลกลอกตาไปมา

“พระเจ้า แม่ ทำไมจะบอกหนูไม่ได้? หนูหมายถึงว่า หนูจะมีวันเป็นผู้ใหญ่พอที่แม่จะยอมบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่แม่ทำอยู่บ้างรึเปล่า มันไม่มีทางจะแย่ไปกว่าที่หนูคิดไว้หรอก เชื่อเถอะ หนูคิดไว้เยอะเลย”

เอพริลลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินกระแทกเท้าไปที่ตู้คาบิเนต ดึงขวดวอดก้าออกมาเทใส่แก้วให้ตัวเอง

“อย่าทำอย่างนั้น เอพริล” ไรล์ลี่บอกเสียงอ่อน

“แม่จะห้ามหนูได้ยังไง”

ไรล์ลี่ยืนขึ้นแล้วหยิบขวดออกจากมือเอพริลอย่างแผ่วเบา แล้วเธอก็กลับมานั่งต่อพร้อมกับเทวอดก้าในแก้วของเอพริลลงมารวมในแก้วตัวเอง

“กินข้าวให้หมดก็พอ โอเคมั้ย” ไรล์ลี่บอก

เอพริลเริ่มจะน้ำตาไหลแล้วตอนนี้

“แม่ หนูอยากให้แม่เห็นสภาพตัวเองจริงๆ” เธอพูดขึ้น “บางทีอาจจะทำให้แม่เข้าใจว่ามันทำให้หนูเสียใจยังไงที่เห็นแม่ในสภาพแบบนี้ และหนูเสียใจยังไงที่แม่ไม่เคยบอกอะไรเลย หนูเสียใจมาก”

ไรล์ลี่พยายามจะพูดแต่เธอกลับพูดอะไรไม่ออกเลย

“หาคนคุยด้วยเถอะนะแม่” เอพริลขอร้อง เริ่มสะอื้นไห้ “ถ้าไม่คุยกับหนู ก็หาใครก็ได้คุยด้วย มันต้องมีซักคนสิที่ไว้ใจได้”

เอพริลหนีเข้าไปในห้องนอนของเธอและกระแทกประตูปิดตามหลัง

ไรล์ลี่ฟุบหน้าลงกับมือทั้งสองข้าง ทำไมเธอถึงล้มเหลวซ้ำๆแบบนี้กับเอพริลกันนะ? ทำไมเธอถึงเก็บส่วนแย่ๆของชีวิตไม่ให้ลูกเห็นไม่ได้?

เธอสะอื้นตัวโยน โลกมันหมุนติ้วอย่างไร้การควบคุมแล้ว เธอไม่สามารถจะคิดอะไรเป็นเหตุเป็นผลได้เลย

เธอนั่งอยู่ตรงนั้นจนน้ำตาแห้ง

หยิบทั้งขวดทั้งแก้วไว้กับตัว แล้วเดินไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น เธอกดเปิดทีวีแล้วก็ดูช่องแรกที่เปิดเจอ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นหนังหรือละครเรื่องอะไรก็ได้ที่เปิดขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องที่เธอแคร์ เธอเพียงแต่นั่งอยู่อย่างนั้นจ้องไปที่รูปถ่ายด้วยสายตาว่างเปล่าและปล่อยให้เสียงจากทีวีดังคลุมทั่วห้อง

แต่เธอก็หยุดภาพที่หลั่งไหลเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดไม่ได้ ภาพของเหยื่อผู้หญิงทั้งหลายที่โดนสังหาร แสงจ้าแสบตาที่กำลังพุ่งมาหาเธอจากคบเพลิงของปีเตอร์สัน หน้าของมารีตอนเธอตาย – ทั้งตอนที่ห้อยต่องแต่งจากโคมไฟและตอนที่นอนอยู่ในท่าสวยงามในโลงศพ

อารมณ์ใหม่กำลังไต่ขึ้นมาตามเส้นประสาทของเธอ – อารมณ์ที่เธอเกลียดมากกว่าสิ่งใด มันคือความหวาดกลัว

เธอกลัวปีเตอร์สัน สัมผัสได้ถึงแรงแค้นของมันรอบตัวเธอ ไม่ใช่สิ่งสำคัญว่ามันจะยังอยู่หรือตายไปแล้ว มันคร่าชีวิตมารีไป และไรล์ลี่ก็สลัดความคิดว่าเธอคือเหยื่อรายต่อไปไม่หลุด

แล้วเธอก็ยังกลัวขุมนรกที่เธอกำลังดิ่งลงไปในเวลานี้ อาจจะมากกว่าที่กลัวปีเตอร์สันด้วยซ้ำ สองอย่างนี้มันเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า? ไม่ใช่ปีเตอร์สันหรอกเหรอที่ทำให้เธอเหมือนตกนรกทั้งเป็น นี่ไม่ใช่ตัวเธอที่เธอเคยรู้จักเลย หรือว่าโรคเครียดจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญมันไม่มีวันจะรักษาหาย

ไรล์ลี่ลืมวันลืมคืนไปเลย ทั่วสรรพางร่างกายนั้นปวดเมื่อยไปหมดจากความกลัวสารพัดอย่าง เธอกระดกแก้วเข้าปากอย่างมั่นเหมาะ หากแต่ว่า แม้แต่วอดก้าก็ยังเอาไม่อยู่

สุดท้ายแล้วเธอจึงเดินเข้าห้องน้ำไปควานหายาในตู้คาบิเนตและก็เจอสิ่งที่ค้นหา ด้วยมือสั่นเทาเธอหยิบยาระงับประสาทออกมา วิธีที่ถูกควรจะต้องรับประทานเพียงเม็ดเดียวก่อนนอน และไม่ให้รับประทานพร้อมกับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์

แต่ด้วยมือที่ยังสั่นอยู่นั้น เธอหยิบกินเข้าไปสองเม็ด

ไรล์ลี่กลับไปนั่งที่โซฟาในห้องนั่งเล่น จ้องไปที่ทีวีเหมือนเดิม กำลังรอให้ยาออกฤทธิ์แต่มันก็ดูจะไม่ได้ผล

ความตื่นตระหนกเข้ามาจับที่ขั้วหัวใจ

ห้องเริ่มหมุนเคว้งอีกแล้วในเวลานี้ ทำให้เธอมึนจนอยากอาเจียน เธอปิดเปลือกตาลงและยืดตัวลงนอนบนโซฟา ความวิงเวียนค่อยหายไป แต่ความมืดมิดกลับเข้ามาแทนที่

 

มันยังจะแย่ไปได้อีกมากแค่ไหนกัน? เธอถามตัวเอง

รู้ได้ทันทีว่าเป็นคำถามที่โง่มาก เรื่องมันทั้งแย่ แย่ลง และแย่มากสำหรับเธอ มันคงไม่มีวันจะดีขึ้นมาหรอก เหวนรกมันไม่มีก้นบึ้ง เธอทำได้เพียงอย่างเดียวคือยอมสิโรราบให้กับความท้อแท้สิ้นหวังและปล่อยให้ตัวเองดิ่งลงไป

ฤทธิ์น้ำเมาทำให้เธอคอพับไป ทุกอย่างมืดมิด เธอไม่รู้สึกตัวแล้ว และกำลังเข้าสู่ความฝัน

เป็นอีกครั้งที่แสงไฟสีขาวจากคบเพลิงแก๊สโพรเพนสาดส่องเข้ามาท่ามกลางความมืด เธอได้ยินเสียงใครคนหนึ่ง

“มาเร็ว ตามฉันมา”

ไม่ใช่เสียงของปีเตอร์สัน แต่มันคุ้นมาก – คุ้นมากเลยทีเดียว หรือจะมีคนมาช่วยเธอแล้ว? เธอลุกขึ้นยืนและเดินตามใครก็ไม่รู้ที่ถือคบเพลิงไป

แต่แล้วเธอก็ต้องขวัญกระเจิง คบเพลิงส่องผ่านศพแล้วศพเล่าระหว่างทางที่เดินไป – ศพแรก มาร์กาเร็ต เจอราตี้, แล้วก็ เอลีน โรเจอร์ส, และ รีบ้า ฟราย, และ ซินดี้ แมคคินน่อน – ทั้งหมดอยู่ในสภาพล่อนจ้อนเปลือยเปล่าและขาแหกออกอย่างน่าสยดสยอง สุดท้ายแสงสาดลงมาบนศพของมารี ห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ หน้าบิดเบี้ยวอย่างหลอนประสาท

ไรล์ลี่ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง

“สาวน้อย เธอทำซะเรื่องพังพินาศไปหมด”

ไรล์ลี่หันไปมองตามเสียง ในแววตาที่ถลึงมองอย่างเกลียดชัง เธอเห็นแล้วว่าใครกันที่กำลังถือคบเพลิงอันนั้น

ไม่ใช่ปีเตอร์สัน แต่เป็นพ่อของเธอเอง ใส่เครื่องแบบนาวาเอกเต็มยศ เธอรู้สึกแปลกใจ พ่อของเธอปลดประจำการมาตั้งหลายปีแล้วนี่ และเธอก็ไม่ได้เจอหรือคุยกับเขามาสองปีกว่าแล้วด้วย

“พ่อเห็นอะไรแย่ๆมาเยอะใน ‘เวียดนาม’” เขาพูดพลางส่ายหัว “แต่นี่เห็นแล้วชวนคลื่นไส้สุดๆ ถูกแล้วไรล์ลี่ เธอทำซะพินาศไปหมด แต่พ่อทำใจมานานแล้วว่าคาดหวังอะไรกับเธอไม่ได้”

เขาส่ายคบเพลิงไปมาเพื่อให้แสงมันส่องไปกระทบกับศพสุดท้าย ศพของแม่เธอนั่นเอง ตายอย่างอนาถมีเลือดนองออกจากแผลกระสุนปืน

“ไม่ต่างอะไรกับเธอลงมือยิงแม่ด้วยตัวเอง จากแต่ละเรื่องที่ทำไว้” พ่อของเธอกล่าวหา

“ตอนนั้นหนูยังเป็นเด็กนะพ่อ” เธอปล่อยโฮออกมา

“พ่อไม่อยากได้ยินข้ออ้างร้อยแปดของเธอแล้ว” พ่อเธอตะคอกกลับมา “เธอไม่เคยจะทำให้เราภาคภูมิใจหรือมีความสุขเลย รู้ตัวรึเปล่า? ไม่เคยช่วยอะไรใครได้ แม้แต่ตัวเอง”

แล้วเขาก็ดับคบเพลิง ไฟมอดไปแล้วและไรล์ลี่ก็กลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครั้ง

ไรล์ลี่เปิดเปลือกตาขึ้น เป็นเวลาดึกแล้วมีเพียงแสงจากทีวีสว่างอยู่ภายในห้องนั่งเล่น เธอยังจำภาพฝันนั้นได้ติดตา คำพูดของพ่อยังคงก้องในโสตประสาท

เธอไม่เคยจะทำให้เราภาคภูมิใจหรือมีความสุขเลย

จริงหรือเปล่า? นี่เธอทำให้ทุกคนผิดหวังขนาดนั้นเลยหรือ – แม้แต่กับคนที่เธอรักที่สุดอย่างนั้นหรือ?

ไม่เคยช่วยอะไรใครได้ แม้แต่ตัวเอง

สมองพร่ามัวไปหมดและเธอก็คิดอะไรไม่ออกแล้ว บางทีเธอคงไม่มีปัญญาทำให้ทุกคนมีความสุข บางทีเธออาจไม่เคยรักใครจริง บางทีเธออาจไม่มีปัญญาไปรักใครได้

ในความหมดอาลัยตายอยากถึงขีดสุด ซวนเซไปหาที่เกาะยึด ไรล์ลี่นึกถึงคำพูดของเอพริล

หาคนคุยด้วยเถอะนะแม่ ใครสักคนที่ไว้ใจได้

ในอาการสลึมสลือจากความเมา คิดอะไรไม่รอบคอบ ไรล์ลี่กดเบอร์หนึ่งลงไปบนมือถือแทบจะอัตโนมัติ เพียงไม่นาน เสียงบิลก็ลอดผ่านมาตามสาย

“ไรล์ลี่เหรอ” เขาถามเสียงงัวเงีย “รู้รึเปล่าเนี่ยว่ากี่โมงแล้ว”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไรล์ลี่ตอบเสียงอ้อแอ้

เธอได้ยินเสียงผู้หญิงถามเสียงงัวเงีย “ใครน่ะบิล”

บิลหันไปพูดกับภรรยา “ขอโทษนะ แต่ผมต้องรับสายนี้”

เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาและเสียงปิดประตู เดาว่าเขาคงเดินออกไปหามุมคุยเป็นส่วนตัว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เขาถาม

“ฉันก็ไม่รู้ บิล แต่ว่า –”

ไรล์ลี่หยุดชะงักไป รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพูดในสิ่งที่จะต้องมาเสียใจภายหลัง – หรืออาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต แต่เธอก็หักห้ามใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

“บิล คุณคิดว่าจะออกมาเจอฉันสักแป๊บนึงได้มั้ย”

เขาครางอย่างงุนงง

“คุณพูดอะไรเนี่ย”

ไรล์ลี่สูดหายใจเข้าลึก เธอพูดอะไรออกไปนี่? รู้สึกจัดการกับความคิดตัวเองไม่ได้ แต่เธอก็รู้ว่าเธออยากจะเจอบิล เป็นสัญชาตญาณดิบความต้องการที่เธอไม่อาจควบคุมได้

ด้วยสติสัมปชัญญะที่เหลือน้อยเต็มที เธอรู้ว่าควรจะกล่าวคำขอโทษและวางสายเสีย แต่ความกลัว ความเหงา และความสิ้นหวังมีอิทธิพลเกินกว่าจะควบคุมได้ เธอโถมต่อไปข้างหน้า

“ฉันหมายถึง…” พูดต่อด้วยเสียงอ้อแอ้ พยายามคิดหาเหตุผล “แค่คุณกับฉัน ใช้เวลาอยู่ด้วยกันหน่อย”

มีแต่ความเงียบกลับมาจากปลายสาย

“ไรล์ลี่ นี่มันกลางดึกนะ” เขาตอบ “คุณหมายความว่าอะไร ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน?” เขาถามเสียงเริ่มหงุดหงิด

“ฉันหมายถึง…” เธอเริ่มพูด.. คิดหาเหตุผล.. อยากจะหยุดปากตัวเองไว้.. แต่ก็ไม่เป็นผล “ฉันหมายถึง…ฉันคิดถึงคุณ บิล ไม่ใช่แค่เวลาทำงาน คุณไม่คิดถึงฉันบ้างเหรอ?”

ไรล์ลี่รู้สึกแย่เหมือนโดนหินทับทันทีที่พูดจบ มันผิด แล้วมันก็เรียกกลับคืนมาไม่ได้

บิลถอนใจอย่างขืนๆ

“คุณเมามากแล้วไรล์ลี่” เขาบอก “ผมจะไม่ไปเจอคุณที่ไหนทั้งนั้น คุณเองก็จะไม่ขับรถไปไหนทั้งนั้นเหมือนกัน ผมมีชีวิตครอบครัวที่ผมพยายามประคับประคองอยู่ และคุณเอง…คุณเองก็มีปัญหาของคุณ เรียกสติตัวเองกลับมาได้แล้ว หาเวลานอนพักผ่อนบ้าง”

บิลตัดสายทิ้งอย่างห้วนๆ ในอึดใจหนึ่ง ความเป็นจริงดูเหมือนจะลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ แต่แล้วเธอก็สำนึกได้ ความเลวร้ายเห็นเด่นชัด

“นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย?” เธอร้องไห้คร่ำครวญออกมาเสียงดัง

ในเวลาเพียงชั่ววูบ เธอโยนความสัมพันธ์ที่สร้างมาสิบปีทิ้งไป เพื่อนที่ดีที่สุด คู่หูคนเดียวของเธอ และคงเป็นความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิตของเธอแล้ว

เธอเคยแน่ใจเหลือเกินว่าเหวนรกที่เธอดำดิ่งลงไปมันไม่มีก้นบึ้ง แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอคิดผิด เธอเพิ่งจะกระแทกก้นบึ้งแตกกระจายไปเมื่อกี๊นี้เอง ถึงกระนั้น เธอยังคงดิ่งลึกลงไป ไม่รู้ว่าจะมีวันลุกขึ้นยืนกลับมาได้อีกเหมือนเดิมหรือเปล่า

เธอเอื้อมไปหยิบขวดวอดก้าบนโต๊ะกาแฟ – ไม่รู้ว่าจะกระดกส่วนที่เหลือลงคอไปดีหรือจะเททิ้งดี แต่ตาและมือของเธอมันไม่สัมพันธ์กันแล้ว เธอควบคุมมันไม่ได้

ห้องทั้งห้องหมุนติ้ว เสียงชนโครมดังขึ้นมาแล้วทุกอย่างก็ดับมืดไป